วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2558

1.พบกลุ่ม สัปดาห์ละ 6 ชั่วโมง, 2.เรื่องเครียด ( ครูลงทะเบียนให้ นศ.ซ้ำ แล้วไม่ให้ถอน จะฟ้อง สตง. !? ), 3.บ้านพักข้าราชการว่าง จะเบิกค่าเช่าบ้านได้กรณีใด, 4.ราคากลางหนังสือเรียน อาจไม่ใช้ราคาที่เคยซื้อต่ำสุด แต่ต้องมีเหตุผลเพียงพอ, 5.เกณฑ์สำหรับครูแต่ละประเภท, 6.เครื่องแบบสีกากี ไม่ต้องใส่ปลอกแขนดำ ถือเป็นการไว้ทุกข์โดยปริยาย, 7.ข้อ 1-9 ข้อไหนถูก ( การรักษาการในตำแหน่ง )



สัปดาห์นี้มีเรื่องที่คิดว่าน่าสนใจ ขอเลือกมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้  7  เรื่อง ดังนี้

         1. แจ้งใหม่ให้จัดการเรียนรู้แบบพบกลุ่ม สัปดาห์ละ 6 ชั่วโมง โดยแบ่งเป็น
             - จัดกระบวนการเรียนรู้ในรายวิชาที่ลงทะเบียน ไม่น้อยกว่า 3 ชั่วโมง
             - จัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมนิสัยใฝ่รู้ใฝ่เรียน การคิดเป็น การอ่านการเขียน และทักษะการสื่อสารถ่ายทอดกระบวนการคิดให้ผู้อื่นเข้าใจ 3 ชั่วโมง
             https://db.tt/RsGZG7SW

         2. มีผู้ถามในอินบ็อกซ์เฟซบุ๊คผม ว่า  ครูที่อำเภอ ... ... ถามหนูว่าจะเรียนที่ไหนแน่ทำไมลงทะเบียน 2 ที่  หนูบอกว่าเทอมนี้หนูไม่ได้ลงทะเบียนที่อำเภอ ... ... ครูให้หนูไปถอนการลงทะเบียน แต่ครูที่อำเภอ ... ... บอกว่าเขาไม่มีนโยบายให้ถอนการลงทะเบียน ส่วนครูที่อำเภอ ... ก็บอกว่าเรียน 2 แห่งไม่ได้   ทำไมครู 2 แห่งไม่คุยกันเองคะ หนูจะต้องฟ้องไปที่ ปปช. สตง. หรือที่ไหนคะ

             ผมตอบว่า   เรื่องที่ นศ.ไม่ได้ลงลายมือชื่อในใบลงทะเบียนด้วยตนเอง แต่สถานศึกษาไม่ยอมถอนใบลงทะเบียนนี้ออก ไม่น่าจะเกิดขึ้น หน่วยงานภายนอกคงไม่คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็ก แต่ถ้าจะแจ้ง สตง. ต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องเงินนะ   ควรเขียนจดหมายแจ้งไปที่หน่วยงานภายใน กศน. เช่น สนง.กศน.จังหวัดก่อน ถ้าไม่ได้ผลจึงแจ้งไปที่หน่วยงานภายนอก ( เพื่อเป็นตัวอย่างให้หน่วยงานภายในเข้าใจว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องทุจริต ต่อไปครู 2 แห่งจะได้คุยกันเองได้ )

         3. เช้าวันที่ 1 ธ.ค.58 รอง ผอ.สนง.กศน.จังหวัด ท่านหนึ่ง ถามในอินบ็อกซ์เฟซบุ๊คผม ว่า  ระเบียบเกี่ยวกับบ้านพักข้าราชการ ยังแบ่งประเภทเหมือนเดิมหรือเปล่า เช่น บ้านพักข้าราชการระดับ 7-8 และ กศน. จังหวัดต่างๆที่มีบ้านพัก เป็นบ้านพักผู้อำนวยการ หรือบ้านพักข้าราชการ ระดับ 7-8

             ผมตอบว่า   ในการก่อสร้างบ้านพักข้าราชการ จะแบ่งเพียง 2 ประเภท คือบ้านพัก ผอ. กับ บ้านพักข้าราชการที่ไม่ใช่ ผอ.  โดยทั่วไป บ้านพักข้าราชการของ กศน.จังหวัด ที่มีหลายหลัง จะมี 1 หลังที่เป็นบ้านพัก ผอ.  หลังอื่น ๆ เป็นบ้านพักข้าราชการที่ไม่ใช่ ผอ.  แต่ถ้า กศน.จังหวัดใดมีบ้านพักข้าราชการหลังเดียว ก็คงเป็นบ้านพัก ผอ.
             ผมถามกลับว่า  จะถามว่า ถ้ามีบ้านพักว่างอยู่ แต่เป็นบ้านพักคนละประเภท จะไม่อยู่ แต่จะเบิกค่าเช่าบ้านได้ไหม ใช่หรือเปล่า
             ท่านรองฯ บอกว่า ใช่

             เรื่องนี้  ผมถามหน่วยตรวจสอบภายใน กศน. เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.58 ได้รับคำตอบจาก อ.สกุลนา และ อ.สุณีย์ ว่า  ต้องมีรายละเอียดอื่น ๆ ประกอบการพิจารณา จึงจะตอบได้ถูกต้องเป็นกรณี ๆ ไป  แต่โดยทั่วไปคือ
             1)  ถ้าบ้านพัก ผอ.มีอยู่ ผอ.จังหวัดจะเบิกค่าเช่าบ้านไม่ได้ แม้แต่จะเคยเบิกค่าเช่าซื้ออยู่ก็ต้องหยุดเบิก
             2)  กรณีข้าราชการ กศน.จังหวัด ที่ไม่ใช่ ผอ. จะเบิกค่าเช่าบ้าน ( คำว่าข้าราชการที่ไม่ใช่ ผอ.นี้ รวมถึง รอง ผอ.ด้วย โดยบ้านพัก ผอ. ไม่ใช่บ้านพักรอง ผอ. )  ให้ ผอ. หรือ กรรมการจัดบ้านพักพิจารณากำหนดดังต่อไปนี้ ( ผอ.มีอำนาจในการพิจารณากำหนดตามหลักเกณฑ์ แต่ ผอ.จะตั้ง กรรมการจัดบ้านพักขึ้นมากำหนดแทนตนหรือไม่ก็ได้ )
                  - ถ้าบ้านพัก ผอ. ว่างอยู่ แต่ผู้ที่จะเบิกค่าเช่าบ้านไม่ใช่ ผอ. จะกำหนดให้ข้าราชการผู้นั้นเข้าอยู่บ้านพัก ผอ. หรือไม่ก็ได้ จะให้ข้าราชการเบิกค่าเช่าบ้านโดยปล่อยให้บ้านพัก ผอ.ว่างอยู่ก็ได้  แต่ถ้ากำหนดให้เข้าอยู่บ้านพัก ผอ. ข้าราชการอื่นนั้นก็จะเบิกค่าเช่าบ้านไม่ได้
                  - กรณีมีบ้านพักว่าง แต่ข้าราชการเคยเบิกค่าเช่าซื้อบ้านอยู่ก่อนย้ายมา สามารถกำหนดว่าไม่ต้องเข้าอยู่บ้านพัก แต่ให้เบิกค่า เช่าซื้อบ้านต่อไปได้  แต่จะให้เบิกค่า เช่าบ้านโดยมีบ้านพักข้าราชการที่ไม่ใช่ ผอ.ว่างอยู่ ไม่ได้  ( ถ้าเป็นตัว ผอ.จะเบิก แต่บ้านพัก ผอ.ว่างอยู่ แม้ ผอ.จะเคยเบิกค่า เช่าซื้อบ้านอยู่ก่อน ก็ต้องหยุดเบิก จะกำหนดให้เบิกค่าเช่าซื้อบ้านต่อไปได้เฉพาะผู้ที่ไม่ใช่ ผอ. )
                     กรณีบ้านพักไม่ว่างเพราะมีคนที่ไม่ตรงประเภทเข้าไปอยู่ เช่น ให้ลูกจ้างเข้าไปอยู่ ผู้มีสิทธิ์ก็จะเบิกค่าเช่าบ้านไม่ได้เช่นกัน
                  - กรณีจะอ้างว่า บ้านพักชำรุด ต้องชำรุดมากจนอยู่ไม่ได้จริง


         4. วันที่ 3 ธ.ค.58 ผมเรียนถาม อ.พัฒน์ฌามนท์ กจ.กศน. ( จนท.เจ้าของเรื่อง ซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดหาหนังสือแบบเรียนหรือพัสดุอื่น” ) ว่า  ตามหนังสือซักซ้อมความเข้าใจดังกล่าว กำหนดให้การจัดหาหนังสือเรียน จะต้องกำหนดราคากลาง โดย สืบค้นจากราคาในท้องตลาด หรือ ราคาซื้อขายย้อนหลังสองปีงบประมาณ และให้นำราคาต่ำสุดมาเป็นราคา กลาง นั้น   เนื่องจาก ราคาที่บางอำเภอในจังหวัด และอีกหลายจังหวัด ซื้อในปีงบประมาณที่ผ่านมา ต่ำผิดปกติ เพราะ ผู้ขายต่อสู้เอาชนะกัน โดยนำหนังสือที่ค้างสต๊อกอยู่จำนวนมากมาขายให้ในราคาต่ำผิดปกติ เล่มละเพียง 7 บาท หรือน้อยกว่า  ถ้านำราคา 7 บาทนี้มาเป็นราคากลางจะมีปัญหา   ขอถามว่าจะไม่ใช้ราคาต่ำสุดที่เคยซื้อผิดปกตินี้มาเป็นราคากลางได้หรือไม่
             อ.พัฒน์ฌามนท์ ตอบว่า  ถ้ามีเหตุผลเพียงพอว่าราคาต่ำกว่าต้นทุนผิดปกติจริง เพื่อไม่ให้เสียเวลาล่าช้าในการจัดหา ก็ไม่ใช้ราคาที่ต่ำสุดผิดปกตินี้เป็นราคากลางได้ แต่ใช้การสืบจากราคาในท้องตลาด จากผู้ขาย/ผู้พิมพ์แต่ละราย และนำราคาของรายต่ำสุด สเป็คเดียวกัน ( ไม่ใช่ค่าเฉลี่ย ) มาเป็นราคากลางได้

             ผมถามต่อ ว่า  ถ้าจังหวัดเป็นผู้พิจารณากำหนดราคากลางตามเกณฑ์นี้ แล้วใช้เป็นราคากลางเท่ากันของทุกอำเภอในจังหวัด ได้หรือไม่   อ.พัฒน์ฌามนท์ ตอบว่า ถ้าคุยกันแล้วจังหวัดยอมทำให้ ก็ได้

         5. แนวปฏิบัติในการจัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานฯ และเกณฑ์สำหรับครูแต่ละประเภท ( ครู กศน.ตำบลต้องไม่เกิน 2 กลุ่ม ฯลฯ )
            
https://db.tt/hi6OAecR

         6. วันเสาร์ที่ 12 ธ.ค.58 ผมเผยแพร่เรื่องการแต่งเครื่องแบบไว้ทุกข์ลงในเฟซบุ๊ค ว่า  เครื่องแบบสีกากี ไม่ต้องใส่ปลอกแขนดำ ถือเป็นการไว้ทุกข์โดยปริยาย

             การแต่งเครื่องแบบพิธีการไว้ทุกข์ ถ้าเป็นชุดปกติขาว หรือชุดครึ่งยศ เต็มยศ ( เสื้อขาว กางเกงประโปรงดำ ) ให้ใส่ปลอกแขนดำไว้ทุกข์ข้างซ้ายเหนือข้อศอก
             แต่ถ้าแต่งเครื่องแบบปกติสีกากี ก็แต่งตามปกติ สีกากีไม่มีปลอกแขน ถือเป็นการไว้ทุกข์โดยปริยาย
             เครื่องแบบองค์กรของแต่ละหน่วยงาน (
UNIFORM) ก็ถือเป็นการใส่ไว้ทุกข์ได้โดยอัตโนมัติเช่นกัน
             กรณีแต่งเครื่องแบบไว้ทุกข์ ควรงดเครื่องหมายเฉลิมพระเกียรติงานมงคลพระมหากษัตริย์  ( ส่วนเข็มเครื่องหมายที่ประดับได้ เช่น เข็มที่ระลึกของสมเด็จพระสังฆราช
, เข็มที่ระลึกงานพระศพสมเด็จย่า, พระพี่นาง ฯลฯ )






         7. วันที่ 18 ธ.ค.58 มีผู้ถามในอินบ็อกซ์เฟซบุ๊คผม ว่า  คำว่า ปฏิบัติราชการแทน / รักษาราชการแทน / รักษาการในตำแหน่ง ตามตัวอย่างที่ส่งให้ดู ตั้งแต่ข้อที่ 1-9 ข้อใดถูกต้อง

             ผมตอบว่า
             1)  ถ้าผู้รักษาการ อยู่ในหน่วยงานที่รักษาการ ก็ไม่ต้องระบุหน่วยงานของผู้รักษาการ คือ ใช้คำว่า "รองผู้อำนวยการ รักษาการในตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงาน กศน.จังหวัดหมื่นลี้"  ไม่ต้องใช้ว่า  "รองผู้อำนวยการสำนักงาน กศน.จังหวัดหมื่นลี้ รักษาการในตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงาน กศน.จังหวัดหมื่นลี้"
             2)  คำว่า "รักษาราชการแทน" เป็นคำในกฏหมาย กพ. และมหาดไทย  ส่วน กศน.เราใช้ พรบ.ขรก.ครูและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งให้ใช้คำว่า "รักษาการในตำแหน่ง" ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่ง
             3)  ส่วนการ
ปฏิบัติราชการแทนนั้น เป็นอีกกรณีหนึ่ง คือกรณีผู้มีอำนาจออกคำสั่งมอบอำนาจบางเรื่องให้ผู้รับมอบอำนาจปฏิบัติราชการแทน/พิจารณาอนุมัติแทน ในเรื่องนั้น ๆ  เป็นการกระจายอำนาจเพื่อความคล่องตัว  โดยให้ปฏิบัติราชการแทนแม้ผู้มอบอำนาจจะอยู่/ไม่ได้ไปไหน  เรื่องที่จะออกคำสั่งมอบอำนาจให้ปฏิบัติราชการแทนได้นี้ ต้องเป็นเรื่องในอำนาจโดยตรงของผู้มอบ  ถ้าเป็นเรื่องที่ ผอ.รับมอบอำนาจมาจากปลัดกระทรวงฯ จะมามอบอำนาจต่อให้ผู้อื่นปฏิบัติราชการแทนอีกช่วงหนึ่งไม่ได้
             4)  สำหรับวิทยฐานะ เช่นคำว่า ชำนาญการ ชำนาญการพิเศษ ของผู้รักษาการ นั้น ท่านวรวิทย์ หัวหน้ากลุ่มงานวินัยและนิติการ กจ.กศน. บอกว่า จะใส่หรือไม่ใส่ก็ได้ ไม่ผิด ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ




วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

1.วิธีทำแฟนเพจ กศน.ตำบล, 2.สมยอมกันทุกฝ่าย ( ผู้เรียนก็อยากได้ใบประกอบวิชาชีพ มหาวิทยาลัยก็อยากได้ค่าลงทะเบียน ), 3.เทียบโอนแล้วถ้าเหลือ 26 หน่วยกิต จะเรียนให้จบในเทอมเดียวได้ไหม, 4.การแก้ไข/อัพ ข้อมูล นศ., 5.ใน 1 กลุ่มมี นศ. 2 ระดับชั้นได้ไหม, 6.ข้าราชการครูไม่มี นศ.เป็นของตนเองได้ไหม, 7.ใครจะลงคำรับรองฯถ้าข้าราชการครูเป็นครูประจำกลุ่ม นศ.ของ กศน.ตำบล



สัปดาห์นี้มีเรื่องที่คิดว่าน่าสนใจ ขอเลือกมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้  7  เรื่อง ดังนี้

         1. คืนวันเสาร์ที่ 7 พ.ย.58 ผมเผยแพร่คู่มือการสร้างแฟนเพจเฟซบุ๊ค จาก 2 แหล่ง คือ
             1) 
https://db.tt/fumZpWaA  ( จาก สนง.กศน.จ.กระบี่ โดย น้องเอก สามารถ จงนอก นักวิชาการคอมฯ )
             2) 
http://koratsite.nfe.go.th/UserFiles/File/koratsite/How2Facebook%20Page_KSN.pdf  ( จาก สนง.กศน.จ.สระบุรี โดย ดํารงชัย ทรัพยกุญชร นักวิชาการคอมฯ )

             จะทำแฟนเพจได้ ต้องมีบัญชีเฟซบุ๊คแล้ว
             ข้อแตกต่างของหน้าหลักเฟซบุ๊ค กับหน้าแฟนเพจ คือ
             - หน้าหลักเฟซบุ๊ค  คนหนึ่งให้มีบัญชีเดียว เหมาะสำหรับการสื่อสารกับ "เพื่อน" มีข้อจำกัดว่าเพิ่มเพื่อนได้ไม่เกิน 5,000 คน ปกติต้องใช้ชื่อ-สกุลจริงเป็นชื่อหน้าหลักเฟซบุ๊ค โพสต์ของเพื่อนในหน้าหลักเฟซบุ๊คอาจดันให้โพสต์ของเราตกลงไปเร็วจนหายาก
             - หน้าแฟนเพจ  คนหนึ่งทำได้หลายเพจ เหมาะสำหรับการโฆษณาประชาสัมพันธ์ สื่อสารกับคนทั่วไป ไม่ต้องเพิ่มเป็นเพื่อน จึงไม่มีข้อจำกัดในเรื่องจำนวนเพื่อน สามารถตั้งชื่อหน้าแฟนเพจว่า "กศน.ตำบล ....." ได้ โพสต์ของคนอื่นจะถูกแยกไว้คนละส่วน ไม่ดันให้โพสต์ของเราตกลงไปเร็ว

         2. วันเสาร์ที่ 7 พ.ย.58 @Senora Manussa ถามในอินบ็อกซ์เฟซบุ๊คผม ว่า  การเรียน ป.บัณฑิต ถ้าไม่ได้สอน สามารถสมัครเรียนได้ไหม
             ผมตอบว่า  ปัจจุบันนี้ คนทั่วไปเรียน ป.บัณฑิตไม่ได้แล้ว ต้องสอนอยู่

             ผู้ถาม ถามต่อ ว่า  มีเพื่อนที่ไม่ได้ทำการสอน แต่สามารถเรียนได้ แล้วตอนนี้เพื่อนคนนี้ก็เรียนจบเมื่อต้นปีแล้ว
             ผมตอบว่า  ถ้ามหาวิทยาลัยไม่ตรวจสอบ แม้จะเรียนได้ แต่เมื่อเรียนจบแล้วก็ไปขอใบอนุญาตประกอบวิชาชีพกับคุรุสภาไม่ได้
             อ.สมกมล ( คุรุสภา ) โพสต์ที่  https://www.facebook.com/groups/1546769758922608  เมื่อวันที่ 4 พ.ย.58 ว่า
             "ยังจำได้ไหม ผู้เข้าเรียนหลักสูตร ป.บัณฑิต ปีการศึกษา 2557 คุณต้องมี หนังสืออนุญาตให้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาโดยไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ "ก่อน" วันที่ 19 กันยายน 2556
             มีใครที่ฝ่าฝืนกฎนี้มั๊ยคะ?
             บอกเลยนะคะ ใครที่คิดว่า มหาวิทยาลัยรับคุณเข้าเรียนแล้วนี่ ไม่เห็นมีอะไร
             ทราบข่าวล่าสุด เริ่มทยอยจบกันแล้ว ส่งข้อมูลเข้า kspbundit แล้วโดนตีกลับ เหตุผลเพราะ หนังสืออนุญาตฯ ของคุณออก "หลัง" 19 กันยายน 2556
             ใครที่โดนตีกลับเคสนี้ ถ้าจะฟ้องร้อง หรือด่าว่าคุรุสภา โปรดสำรวจตัวเองก่อนนะคะ ว่าคุณสมยอมกันทั้งสองฝ่ายหรือเปล่า
             อย่าให้เห็นนะคะว่า ไปโพสที่ไหนด่าว่าคุรุสภาเคสนี้ แอดมินจะตามไปตำหนิ และให้ข้อเท็จจริงกลางวงเลยค่ะ"

         3. ดึกวันอาทิตย์ที่ 15 พ.ย.58 Nutthicha Nakdee ถามผมในอินบ็อกซ์เฟซบุ๊ค ว่า  หนูเริ่มเรียนที่ กศน. วิชาที่ต้องเรียนมี 9 วิชา รวม 23 หน่วยกิต และเทียบโอนได้ 4 วิชา รวม 10 หน่วยกิต สามารถจบในเทอมเดียวได้รึเปล่า เพราะเคยเห็นในเว็บของอาจารย์ที่ตอบคำถามบอกว่า ถ้าเป็น นศ.ที่เทียบโอนผลการเรียนหรือเคยสอบไม่ผ่าน ได้เกรด 0 นศ.รายนั้น "เฉพาะภาคเรียนสุดท้าย" สามารถเรียนมากกว่าที่กำหนดได้ 3 หน่วยกิต  ตรงนี้รวมกรณีของหนูด้วยมั้ยคะ?
             และวิชาที่เทียบโอนเเล้วเราต้องสอบด้วยมั้ย หรือเเค่เเจ้งให้ นศ. ทราบ

             ผมตอบว่า   ถ้าเทียบโอนแบบเคยเรียนวิชาที่สอดคล้องกันโดยได้เกรด 1 ขึ้นไปจากสถานศึกษาอื่นมาแล้ว ( ไม่ใช่เทียบโอนจากการประเมินความรู้และประสบการณ์ ) ก็ไม่ต้องสอบอีก แค่แจ้งผลการเทียบโอนให้ นศ.ทราบ
             ถ้าเป็น ม.ปลาย จะมี 76 หน่วยกิต หนูเทียบโอนได้แค่ 10 หน่วยกิต เหลืออีกตั้ง 66 หน่วยกิต เรียนได้ภาคเรียนละ 23 หน่วยกิต ฉะนั้นต้องเรียนอย่างน้อย 3 ภาคเรียน
             ถ้าเทียบโอนได้ 50 หน่วยกิต เหลือ 26 หน่วยกิต จึงจะสามารถเรียนภาคเรียนเดียวจบได้
             แต่ถ้าเหลือเกิน 26 หน่วยกิต ห้ามลงทะเบียนเรียนเกิน 23 หน่วยกิต ( ม.ปลาย )

         4. ให้แก้ไขข้อมูล นศ.ลงทะเบียน 2/58 และอัพข้อมูลใหม่
             ตรวจสอบความถูกต้องที่ http://203.172.142.230/NFE-MIS/student_itw_conclus_process.php

             ดูวิธีตรวจสอบความซ้ำซ้อนผิดพลาด และการแก้ไขข้อมูล นศ.ส่งขึ้น web ใหม่ ที่
            
https://dl.dropboxusercontent.com/u/109014048/PDF/new_verify.pdf  ( ให้ดูเฉพาะวิธีการในเพจนี้ ส่วนกำหนดเวลาในเพจนี้เป็นของปีก่อน )
             อย่าลืมตรวจสอบ ทั้ง
             - เลขบัตรประชาชนซ้ำซ้อน
             - เลขบัตรประชาชนไม่ถูกต้อง
             - นศ.ที่ใช้เงินนอกงบประมาณ ( บางอำเภอคีย์ข้อมูลลงโปรแกรม ITw เข้ากลุ่มใช้เงินนอกงบประมาณนี้หลายคนโดยไม่ตั้งใจ  ถ้ามีจำนวนอยู่ในกลุ่มนี้ จะไม่ได้รับการจัดสรรเงินอุดหนุนรายหัว )
             - รายงานสรุปจำนวนนักศึกษาพิการ
             - รายงานสรุปจำนวนนักศึกษา English Program

             เมื่ออัพโหลดข้อมูลขึ้นเว็บแล้ว ให้ตรวจสอบเป็นระยะ ๆ ( วันนี้อาจยังไม่ซ้ำซ้อน แต่วันต่อไปอำเภออื่นเพิ่งอัพโหลดขึ้น อาจมี นศ.ที่เพิ่งอัพโหลดมาซ้ำซ้อนกับเรา )
             นักศึกษาที่ซ้ำซ้อนกัน ให้ประสานงานกับอำเภอที่ซ้ำซ้อน ว่า นศ.เรียนที่ไหนแน่ อำเภอใดจะเป็นผู้ถอนการลงทะเบียนในโปรแกรม ITw แล้วดำเนินการอัพโหลดตามขั้นตอนใหม่
             ถ้านายทะเบียนไม่ยอมแก้ไข.. ให้ ผอ.กศน.อำเภอ ประสานงานพูดคุยกัน
             วันที่ 14 ธ.ค.58 จะปิดระบบ แก้ไขอีกไม่ได้แล้ว ถ้ายังซ้ำซ้อนอยู่ กลุ่มแผนงานฯจะไม่จัดสรรเงินอุดหนุนรายหัวสำหรับนักศึกษารายนั้นให้ทั้ง 2 อำเภอหรือทุกอำเภอที่ นศ.ลงทะเบียนเรียน 2 แห่งขึ้นไปในภาคเรียนเดียวกัน
              ( ข้อมูลจำนวนนักศึกษาที่ไม่ซ้ำซ้อนนี้ จะใช้จัดสรรงบประมาณอุดหนุนในภาคเรียนต่อไป ส่วนภาคเรียนนี้จะได้รับเงินอุดหนุนรายหัวตามจำนวน นศ.ในภาคเรียนก่อน เป็นลักษณะนี้ทุกภาคเรียน เพราะจะคอยจัดสรรเงินภาคเรียนนี้ตามจำนวน นศ.ภาคเรียนนี้ไม่ทัน )

             ทุกแห่งต้องอัพโหลดข้อมูลภายในวันที่ 30 พ.ย.58 ส่วนวันที่ 2-13 ธ.ค.58 เป็นช่วงการแก้ไขลดข้อมูลซ้ำซ้อน  ไม่ให้เพิ่ม นศ.ใหม่มาแทนอีก เพราะถ้าเพิ่มก็อาจซ้ำซ้อนกับอำเภออื่นใหม่อีก อำเภอที่ซ้ำซ้อนใหม่จะเสียหายไปด้วย
 

         5. เรื่องใน 1 กลุ่ม ควรมี นศ.ระดับชั้นเดียว เช่น ม.ต้นทั้งหมด หรือ ม.ปลายทั้งกลุ่ม  เป็นเรื่องปกติธรรมดาของการจัดการเรียนการสอนทุกหลักสูตร เพราะแต่ละระดับชั้นมีเนื้อหาวิชาต่างกัน ยากที่จะจะจัดการเรียนการสอนรวมกันให้มีคุณภาพ
             แต่ประเด็นนี้ก็เป็นปัญหา/ข้อจำกัดสำหรับครู กศน.มาตลอด จนถึงปัจจุบัน
             ท่านเลขาธิการ กศน.ให้นโยบาย โดยเน้นที่
              “1 กลุ่มไม่ให้เกิน 40 คน และ จัดการเรียนการสอน/จัดกิจกรรมการเรียนรู้ ครั้งละกลุ่มเดียว

             ในแต่ละกลุ่ม เราก็ต้องพยายามแยกให้มี นศ.เพียงระดับเดียว แต่ ในทางปฏิบัติอาจมีบางกลุ่มจำเป็นต้องมี 2 ระดับ ก็อนุโลมได้ เพราะปัญหา/ข้อจำกัดสำหรับครู กศน.ยังมีอยู่
             เช่น ถ้าตำบลใดมีครูคนเดียว มี นศ.ระดับประถม 44 คน ม.ต้น 50 คน ม.ปลาย 51 คน กรณีนี้ถ้าจะแบ่งกลุ่มให้ถูกทั้งนโยบายและหลักการ ครูคนนี้ต้องแบ่งถึง 6 กลุ่ม และตามนโยบายแม้ว่ากลุ่มจะมี นศ.น้อยคน ก็ต้องแยกสอนไม่พร้อมกัน  ( จะให้ นศ.บางคนไปอยู่กลุ่มตำบลอื่น เดินทางไปเรียนที่ตำบลอื่น ก็จะเป็นปัญหาอื่นอีก )
             โดยต้อง จัดตั้งกลุ่มก่อน ระบุว่าแต่ละกลุ่มอยู่ที่ไหน สอนวันเวลาใด ซึ่งวันเวลาต้องไม่ซ้ำซ้อนกันในครูประจำกลุ่มคนเดียวกัน  ดังนั้นครูคนนี้เฉพาะการสอนอย่างเดียวก็สัปดาห์ละ 6 X 6 ชั่วโมง  รวมเป็น 36 ชั่วโมง จะยากในทางปฏิบัติ ก็คงต้องอนุโลมให้ลดกลุ่มโดยบางกลุ่มมี นศ. 2 ระดับชั้นรวมกันได้

 

         6. เรื่องข้าราชการครูต้องมีภาระงานสอน  เป็นเรื่องบังคับตามกฎหมายของ ผู้ดำรงตำแหน่งครูทุกสังกัด โดยเฉพาะกับทุกคนที่จะมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู และ/หรือ มีวิทยฐานะ
              ( ผู้ดำรงตำแหน่งครู จะปฏิบัติงานที่หน่วยงานทางการศึกษาที่ไม่ใช่สถานศึกษา เช่น สนง.กศน.จังหวัด ไม่ได้ เพราะ สนง.กศน.จังหวัดจะไม่มีการจัดการเรียนการสอนเอง ทำให้ผู้ดำรงตำแหน่งครูปฏิบัติหน้าที่ตามที่ระเบียบกฎหมายกำหนดไม่ได้   ที่ไหนยังให้ผู้ดำรงตำแหน่งครูไปช่วยราชการประจำที่ สนง.กศน.จังหวัด ถือว่าไม่สนใจระเบียบกฎหมาย )

             แต่ภาระงานสอนตามระเบียบกฎหมายของข้าราชการครู มีหลายอย่าง ไม่จำเป็นต้องหานักศึกษาเป็นของตนเอง เช่นสอนเสริมให้กับ นศ.ของ กศน.ตำบลก็ได้
             ต้องพิจารณาจากหลายด้าน เช่น
             1)  ถ้าข้าราชการครูไม่หานักศึกษาเป็นของตนเอง ก็ไม่ได้ช่วยแบ่งเบากลุ่มเป้าหมายรวมของอำเภอ ไม่ได้ช่วยลดกลุ่มเป้าหมายของครูประเภทอื่น อาจทำให้ครูประเภทอื่นเกิดความรู้สึก ( แต่บางครั้งก็ดี ที่ไม่ต้องแย่ง นศ.กัน )
             2)  ถ้าข้าราชการครูไม่ช่วยหานักศึกษาเป็นของตนเองและส่งผลให้รวมทั้งอำเภอไม่ได้ นศ.ตามเป้า ผอ.กศน.อำเภอก็ต้องรับผิดชอบ
             3)  ถ้าข้าราชการครูไม่ช่วยหานักศึกษาเป็นของตนเอง แต่ทั้งอำเภอได้ นศ.ครบตามเป้าแล้วข้าราชการครูไม่สอน ความรับผิดชอบจะไปอยู่ที่ตัวข้าราชการครู คือ ถ้าอ้างว่า มีภาระงานสอน เช่น ทำตารางนิเทศ/ตารางสอนเสริม/อื่น ๆ ครบสัปดาห์ละ 10 ชั่วโมง และมีภาระงานสอนอื่นรวมครบสัปดาห์ละ 18 ชั่วโมงแล้ว ถ้าไม่จริง ก็อาจส่งผลต่อการต่ออายุใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู ส่งผลต่อวิทยฐานะ

             สรุป ข้าราชการครูจะต้องหานักศึกษาเป็นของตนเองหรือไม่ เป็นความรับผิดชอบของทั้งตัวข้าราชการครูและผู้บริหาร โดยผู้บริหารเป็นผู้ตัดสิน ถ้าผู้บริหารตัดสินตามระเบียบและนโยบาย แล้วข้าราชการครูไม่ปฏิบัติตามก็ถือว่าข้าราชการครูขัดนโยบาย
 

         7. ถ้าครู กศน.ตำบล หรือครู ศรช. เป็นผู้รับสมัครนักศึกษา ได้ระดับประถม 30 คน ม.ต้น 30 คน ม.ปลาย 30 คน รวม 90 คน จัดตั้งกลุ่มเป็น 3 กลุ่ม ให้ครู ศรช. เป็นครูประจำกลุ่ม 2 กลุ่ม และให้ข้าราชการครูเป็นครูประจำกลุ่ม 1 กลุ่ม ซึ่งข้าราชการครูไม่ได้รับสมัคร นศ.เอง  กรณีนี้จะถือว่า นศ. 90 คนนี้ เป็นผลงานของใคร จะลงเป้า/ผลในคำรับรองของใครเท่าไร
             - ครู ศรช.ลง เป้า/ผล ในคำรับรองฯของตน ทั้ง 90 คน โดยข้าราชการครูไม่ต้องลงในคำรับรองฯ   หรือ
             - ครู ศรช.ลง เป้า/ผล ในคำรับรองฯของตน 60 คน และข้าราชการครูลงในคำรับรองของตน 30 คน   หรือ
             - ครู ศรช.ลงเป้า/ผล ในคำรับรองฯของตน 90 คน และข้าราชการครูลงในคำรับรับรองฯของตนอีก 30 คน  จะซ้ำซ้อนเป็น 120 คนหรือไม่
             กรณีนี้ผมไม่แน่ใจว่าระบบโปรแกรมฐานข้อมูลการบริหารจัดการฯ ถ้าลงคำรับรองฯตามวิธีที่ 3 แล้ว โปรแกรมจะรวมเป็นยอดของอำเภอ 120 คนโดยอัตโนมัติหรือไม่ ถ้าโปรแกรมไม่รวมกันให้ซ้ำซ้อน ก็ควรลงตามวิธีที่ 3 แต่ถ้าโปรแกรมรวมกันให้ซ้ำซ้อน ก็ควรลงตามวิธีที่ 1 หรือ 2


วันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

1.จนท.บันทึกข้อมูล วุฒิ ป.ตรี ปรับเงินเดือนเป็นหมื่นห้าไหม, 2.รวมสิทธิของข้าราชการเกษียณ, 3.เราออกใบอนุโมทนาบัตรให้กับผู้บริจาคเงินได้ไหม, 4.กศน.อำเภอต้องเตรียมสมุดตรวจราชการ/ตรวจเยี่ยม/นิเทศ อย่างไร, 5.ใบ รบ. ประทับตราก่อนหรือ ผอ.เซ็นก่อน, 6.นายทะเบียนลาคลอด, 7.การลงทะเบียน/การจบ ของผู้ไม่รู้หนังสือ



สัปดาห์นี้มีเรื่องที่คิดว่าน่าสนใจ ขอเลือกมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้  7  เรื่อง ดังนี้

         1. วันที่ 5 ต.ค.58 มีผู้ถามในอินบ็อกซ์เฟซบุ๊คผม ว่า  เจ้าหน้าที่บันทึกข้อมูล ที่สัญญาจ้าง จ้างด้วยวุฒิ ป.ตรี. สามารถปรับเงินเดือนเป็น 15,000 บาท ได้หรือเปล่า ผอ ให้แก้สัญญาเป็น ป.ตรี

             ผมตอบว่า   ตามลักษณะขอบเขตของงานจ้าง ตำแหน่งเจ้าหน้าที่บันทึกข้อมูล เป็นลักษณะงานที่ กศน.กำหนดให้จ้างวุฒิ ปวช. อัตราค่าจ้าง 11,680 บาท  ถึงแม้ผู้รับจ้างจะจบปริญญาเอกก็อัตราค่าจ้าง 11,680 บาท ( ดูที่วุฒิตามประกาศรับสมัคร ไม่ได้ดูที่วุฒิจริงของผู้สมัคร )

         2. คืนวันที่ 12 ต.ค.58 ผมโพสต์ในเฟซบุ๊ค เรื่อง รวมสิทธิของข้าราชการเกษียณ ว่า
             ถ้าเลือกรับบำเหน็จ สิทธิต่างๆจะระงับไป เช่นค่ารักษาพยาบาล เหลือเพียงสิทธิเดียวคือ การขอพระราชทานเพลิงศพ

             กลุ่ม ผู้ไม่เป็นสมาชิก กบข.
             ก): กรณีรับบำเหน็จ
                  จะได้รับเงินบำเหน็จเป็นเงินก้อนเดียว [ เงินบำเหน็จ = เงินเดือนเดือนสุดท้าย x อายุราชการ(รวมอายุราชการทวีคูณ) ]
                  สิทธิต่าง ๆ ระงับไป ยกเว้นการขอพระราชทานเพลิงศพ

             ข): กรณีรับบำนาญ
                  จะได้รับเงินบำนาญรายเดือนทุกเดือน จนกว่าจะเสียชีวิต [ บำนาญรายเดือน = เงินเดือนเดือนสุดท้าย x อายุราชการเป็นปี (รวมอายุราชการทวีคูณ เศษเกิน 6 เดือนจึงนับเป็น 1 ปี) แล้วหารด้วย 50 ]
                  และยังมีสิทธิได้รับ
                  1)  ค่ารักษาพยาบาลของตนเอง คู่สมรส บิดามารดา บุตรที่อายุยังไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์ และบุตรไร้ความสามารถไม่จำกัดอายุ
                  2)  ค่าตรวจสุขภาพ
                  3)  ค่าการศึกษาบุตร เบิกได้ถึงบุตรอายุ 25 ปีบริบูรณ์
                  4)  บำเหน็จดำรงชีพ ( เงินเพิ่มให้พิเศษ ) = 15 เท่า ของเงินบำนาญ 1 เดือน แต่ไม่เกิน 400,000 บาท โดยจ่ายให้ทันทีเมื่อเกษียณครึ่งหนึ่ง แต่ไม่เกิน 200,000 บาท ส่วนที่เหลือขอรับได้เมื่ออายุครบ 65 ปี
                  5)  เงินช่วยพิเศษ เมื่อถึงแก่กรรม = 3 เท่า ของเงินบำนาญ ( มอบให้กับผู้ที่ผู้รับบำนาญแสดงเจตนาไว้ หรือทายาทตามกฎหมาย )
                  6)  เงินบำเหน็จตกทอด เมื่อถึงแก่กรรม เป็นเงินก้อนเดียว = เงินบำนาญ x 30 เท่า เงินบำเหน็จดำรงชีพที่รับไปแล้ว ( มอบให้กับทายาทตามกฎหมาย ถ้าไม่มีทายาทมอบให้ผู้ที่ผู้รับบำนาญแสดงเจตนาไว้ ถ้าไม่มีทายาทและไม่ได้แสดงเจตนาไว้ เป็นอันยุติบำนาญตกทอด )


             กลุ่ม ผู้เป็นสมาชิก กบข.
             ก): กรณีรับบำเหน็จ
                  จะได้รับเงินบำเหน็จเป็นเงินก้อนเดียว [ เงินบำเหน็จ = เงินเดือนเดือนสุดท้าย x อายุราชการ (รวมอายุราชการทวีคูณ เศษเดือนเศษวันเป็นจุดทศนิยม) ]
                  สิทธิต่าง ๆ ระงับไป ยกเว้นการขอพระราชทานเพลิงศพ


             ข): กรณีรับบำนาญ
                  จะได้รับเงินบำนาญรายเดือนทุกเดือนจนกว่าจะเสียชีวิต [ บำนาญรายเดือน = เงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย x อายุราชการ(รวมอายุราชการทวีคูณ เศษเดือนเศษวันเป็นจุดทศนิยม)รวมไม่เกิน 35 ปี แล้วหารด้วย 50 ] แต่ต้องไม่เกิน 70% ของเงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย
                  และยังได้รับสิทธิต่าง ๆ เหมือนกับบำนาญปกติ
                  นอกจากนี้ สมาชิก กบข.แบบ ก.,ข. ยังได้รับ
                  - เงินสะสม + ผลประโยชน์ของเงินสะสม
                  - เงินประเดิม + ผลประโยชน์ของเงินประเดิม
                  - เงินชดเชย + ผลประโยชน์ของเงินชดเชย
                  - เงินสมทบ + ผลประโยชน์ของเงินสมทบ
                   ( ผู้ที่ลาออกจาก กบข.จะได้เฉพาะเงินสะสม+ผลประโยชน์ของเงินสะสม คืน )

             หมายเหตุ.
             ก. ผู้ที่ได้รับบำเหน็จตกทอด คือผู้ที่ผู้รับบำนาญแสดงเจตนาไว้ หรือทายาทตามกฎหมาย คำว่า ทายาทตามกฎหมาย ได้แก่
                  - บุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ได้รับคนละ 1 ส่วน
                  - สามีภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมาย ได้รับ 1 ส่วน
                  - บิดา หรือมารดา หรือทั้งบิดาและมารดา ที่ยังมีชีวิตอยู่ ได้รับ 1 ส่วน
             ข. เงินอื่น ๆ ที่ทุกกลุ่มจะได้รับ ถ้าสมัครเป็นสมาชิก
                  - เงินฌาปนกิจสงเคราะห์
                  - เงินผลประโยชน์จากหุ้นสหกรณ์
                  - เงินประกันชีวิตและเงินช่วยเหลือจากสหกรณ์
             ค. เวลาราชการทวีคูณ ในช่วงประกาศกฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร 2 ช่วงล่าสุด รวม 15 เดือน 18 วัน ( ช่วงที่ 1 วันที่ 19 ก.ย.49 – 26 ม.ค.50 = 4 เดือน 11 วัน , ช่วงที่ 2 วันที่ 20 พ.ค.57 – 1 เม.ย.58 = 11 เดือน 7 วัน ) นั้น ได้เวลาราชการทวีคูณเฉพาะทหารตำรวจ ส่วนข้าราชการอื่นไม่ได้ เพราะไม่ได้เสี่ยงภัย



         3. วันที่ 16 ก.ย.58 Bee Sizz ถามในอินบ็อกซ์เฟซบุ๊คผม ว่า  กศน.เราสามารถออกใบอนุโมทนาบัตรให้กับผู้บริจาคเงินได้ไหม

             ผมตอบว่า   ได้ ออกเป็น ประกาศเกียรติคุณบัตรโดยปฏิบัติตามระเบียบ 2 ฉบับ คือ
             1)  ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการขอบคุณและอนุโมทนา พ.ศ. 2547 ( https://www.dropbox.com/s/di7hnuur7erxzde/thank47.pdf?dl=1 )
             2)  ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการรับเงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้บริจาคให้แก่สถานศึกษา พ.ศ.2552 ( https://www.dropbox.com/s/x4ybzt4p419brh7/recivemoney52.pdf?dl=1 )
             เดิม ใบประกาศเกียรติคุณบัตรนี้ ต้องซื้อจากองค์การค้าของคุรุสภา แต่ปัจจุบันสถานศึกษาจัดทำเองได้  ดูตัวอย่างที่ https://www.dropbox.com/s/c0f74x32m5x278z/goodcard.jpg?dl=1

         4. คืนวันที่ 20 ต.ค.58 ผมนำหนังสือแจ้งเกี่ยวกับเรื่อง กศน.อำเภอ ต้องเตรียมสมุดอะไร อย่างไร (สมุดตรวจราชการ/สมุดตรวจเยี่ยม/สมุดนิเทศติดตามผล) ของ สนง.กศน.จ.ขอนแก่น มาเผยแพร่ในเฟซบุ๊ค : ..




         5. คืนวันที่ 22 ต.ค.58 ผมตอบคำถาม สมปอง เจริญผล ที่ถามในอินบ็อกซ์เฟซบุ๊คผม ว่า  การออกหนังสือรับรอง หรือใบ รบ. ผู้บริหารต้องเซ็นต์ก่อน หรือประทับตราสถานศึกษาก่อน

             ผมตอบว่า   ตามระเบียบกำหนดว่า "ติดรูปถ่ายของนักศึกษา ประทับตราประจำสถานศึกษาด้วยหมึกสีแดงชาด ให้บางส่วนติดรูปถ่ายและบางส่วนติดบนส่วนที่ จะ เป็นลายเซ็นของหัวหน้าสถานศึกษา"  จึงสรุปได้ว่า ประทับตราสถานศึกษาก่อน หัวหน้าสถานศึกษาเซ็นทีหลัง

         6. เย็นวันที่ 2 พ.ย.58 อาธิป บูสา ถามในอินบ็อกซ์เฟซบุ๊คผม ว่า  ถ้านายทะเบียนลาคลอด ระหว่างนั้นผู้ช่วยนายทะเบียนจะสามารถลงนามแทนนายทะเบียนในหลักฐานต่างๆได้มั้ย เช่น ลงนามในวุฒิการศึกษา หรือวุฒิบัตร

             ผมตอบว่า   ผู้ช่วยนายทะเบียนลงนามไม่ได้ ต้องให้นายทะเบียนลงนาม   ถ้าจำเป็น ผอ.ก็แต่งตั้งผู้ช่วยนายทะเบียน หรือคนอื่นที่มีคุณสมบัติ ให้เป็นนายทะเบียนชั่วคราว

         7. ระยะนี้มีหลายคนถามเรื่องเกี่ยวกับการลงทะเบียน/การจบ ของผู้ไม่รู้หนังสือ เช่น อภิชาต อามีน ขันธชัย โทร.มาถามผมว่าต้องขึ้นทะเบียนผู้ไม่รู้หนังสือในโปรแกรม ITw หรือไม่

             ผมตอบว่า   เรื่องการรู้หนังสือ ไม่ต้องลงในโปรแกรม ITw
             - ให้ดูเรื่อง เอกสารหลักฐานการศึกษา การจบหลักสูตร ใน หลักสูตรการรู้หนังสือไทย พ.ศ.2557” ดูหลักสูตรนี้ได้ที่  https://www.dropbox.com/s/umvk0fqftjupxh2/LiterCur57.pdf?dl=1
             - ดูหนังสือเรียนการรู้หนังสือ ที่  https://www.dropbox.com/s/4j0sc8ip9c6q17h/g6.22.pdf?dl=1
             -
เรื่องการรู้หนังสือนี้ ดูแบบฟอร์มวุฒิบัตรและเอกสารต่าง ๆ ได้ที่
( วุฒิบัตรอยู่ในหน้า 20 )

             - ฟ้อนต์ ( Font ) สำหรับพิมพ์ตัวอักษรเป็นเส้นประ เพื่อให้ผู้ไม่รู้หนังสือหัดเขียนตามเส้นประ
                ลักษณะของแบบอักษร เป็น แบบเลือกตามโครงสร้างมาตรฐานตัวอักษรไทยของราชบัณฑิต
                ชื่อฟ้อน Layiji_kutlaimuu ( เลย์อิจิ คัดลายมือ )
                ดาวน์โหลดได้ที่ http://www.krooupdate.com/news/newid-460.html
                เมื่อดาวน์โหลดและแตกไฟล์จนได้ไฟล์ Layiji_kutlaimuu.ttf แล้ว ให้เปิดไฟล์นี้โดยดับเบิ้ลคลิกที่ชื่อไฟล์
                ถ้ามีการถามว่าจะใช้โปรแกรมอะไรเปิดไฟล์ ให้เลือกเปิดด้วยโปรแกรม Windows Font Viewer
                เปิดไฟล์แล้วเลือกที่ Install
                เสร็จแล้ว เมื่อเวลาจะพิมพ์เอกสารอะไร ก็จะมีฟ้อนต์ Layiji kutlaimuu ให้เลือกใช้