วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2561

1.พนักงานราชการหญิงใส่เสื้อคอแบะปล่อยเอวติดอินทรธนู ผิดไหม, 2.การลงโทษผู้เข้าสอบ, 3.ไม่ได้แจ้งให้เบิกต้นสังกัด เบิกได้ไหม, 4.ครู ศรช.รับค่าคุมสอบได้วันเดียวใช่ไหม-ตำนานค่าคุมสอบ, 5.ด่วน.. เปลี่ยนแปลงอัตราการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนใหม่ ตั้งแต่ 20 มี.ค.61, 6.การขอใบอนุญาตประกอบวิชาชีพผู้บริหารสถานศึกษา, 7.ชพค.-ชพส.หักส่วนกลางอย่างไร


สัปดาห์นี้มีเรื่องที่คิดว่าน่าสนใจ ขอเลือกมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้  7  เรื่อง ดังนี้

         1. วันที่ 14 มี.ค.61 มีผู้ถามผมในอินบล็อกเฟซบุ๊ก ว่า  การแต่งกายชุดผู้หญิงสีกากี ของพนักงานราชการ ครู กศน.ตำบล แบบคอแบะปล่อยเอว ต้องใส่อินทนูไหม มีคนว่าแต่งกายผิดระเบียบค่ะ

             ผมตอบว่า   เครื่องแบบพนักงานราชการ กศน.สีกากี ติดอินทรธนู 2 ขีด ( ถ้าติด 3 ขีดผิด )
             ระเบียบเครื่องแบบพนักงานราชการ กศน.สีกากี หญิง จะมีเสื้อ 2 แบบ คือแบบคอตั้ง กับแบบคอแบะปล่อยเอว ติดอินทรธนูได้ทั้ง 2 แบบ  แต่ของ ชาย จะมีเสื้อแบบคอตั้งเพียงแบบเดียว
             ดูระเบียบได้ที่  
https://www.dropbox.com/s/4c70t0n8ldwv6mx/formPRGnfe.pdf?dl=1

         2. เช้าวันเสาร์ที่ 17 มี.ค.61 มีผู้โพสต์ภาพประกาศ ในกลุ่มไลน์แชร์เข้มกศน. ว่า  ผู้ให้ผู้อื่นมาสอบ และผู้มาสอบแทน มีความผิด จำคุก 1 ปี 6 เดือน





             ผมเห็นว่าน่าสนใจ เป็นการป้องปรามไม่ให้มีการทุจริต เพื่อคุณภาพการศึกษา แต่ผมก็สงสัยอยากรู้ จึงถามว่า ใช้กฎหมายใดมาตราไหน
             ผู้โพสต์ไม่ได้ตอบ แต่มีผู้อื่นนำ
            
- ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการปฏิบัติของผู้เข้าสอบ พ.ศ. 2548 กับ
            
- ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการลงโทษนักเรียนและนักศึกษา พ.ศ. 2548
             มาโพสต์
             ผมบอกว่า ถูกต้อง การลงโทษผู้เข้าสอบของเรา ที่ทำความผิด ต้องยึดระเบียบ
2 ฉบับนี้เป็นหลัก
             สถานศึกษาอาจจะกำหนดรายละเอียดการลงโทษไว้ในระเบียบสถานศึกษาอีกก็ได้ แต่จะกำหนดเกินอำนาจของ ผอ.สถานศึกษา เช่นให้จำคุก ไม่ได้

             ส่วนกรณี การลงโทษกรรมการดำเนินการสอบที่บกพร่อง/รู้เห็นการทุจริต ต้องอาศัยระเบียบกระทรวงอีกฉบับที่เกี่ยวกับการคุมสอบ ซึ่งให้ลงโทษทางวินัย ด้วยเหตุนี้ท่านอดีต ผอ.กจ.กศน.จึงสรุปว่าการแต่งตั้งกรรมการคุมสอบต้องแต่งตั้งบุคคลที่ทางราชการสามารถลงโทษได้ คือมีหน่วยราชการเป็นต้นสังกัด จะแต่งตั้งชาวบ้านทั่วไปไม่ได้ แม้แต่ผู้รับบำนาญก็ตั้งไม่ได้เพราะพ้นจากราชการแล้วต้นสังกัดเดิมสั่งลงโทษผู้รับบำนาญไม่ได้แล้ว ถ้าผู้รับบำนาญทำความผิดก็เป็นเรื่องของกฎหมายบ้านเมือง เว้นแต่จะทำความผิดไว้ตั้งแต่ก่อนเกษียณจึงจะสามารถลงโทษย้อนหลังแม้เกษียณแล้วได้

         3. คืนวันเสาร์ที่ 17 มี.ค.61 มีผู้ถามผมในอินบ็อกซ์เฟซบุ๊ก ว่า  จังหวัดมีหนังสือให้ไปประชุมที่จังหวัดแต่ในหนังสือไม่ได้บอกว่าให้เบิกจ่ายค่าเดินทางไปราชการ เราสามารถเบิกจ่ายค่าเดินทางไปราชการได้ไหม

             ผมตอบว่า   ถ้าเป็นการ "เดินทางไปราชการ" นอกรั้วสำนักงาน ก็สามารถเบิกจ่ายค่าเดินทางได้ ถ้า
             ได้รับอนุญาตให้เดินทางไปราชการ+รวมเวลาเดินทางครบตามเกณฑ์+มีงบให้เบิก+ผู้บริหารอนุมัติให้เบิก

         4. คืนวันที่ 16 มี.ค.61 มีผู้ถามผมในอินบ็อกซ์เฟซบุ๊ก ว่า  เรื่องการจ่ายค่าตอบแทนคุมสอบปลายภาคครู.ศรช. ในวันที่17-18มีนาคมนี้ ครู.ศรช.สามารถรับค่าตอบแทนได้แค่วันเดียวคือวันที่17..ใช่ไหม ส่วนวันที่18จะไม่ได้รับเนื่องจากเปนวันปฏิบัติงานตามสัญญาจ้างเหมา

             ผมตอบว่า   เสิร์ชหาดูในที่ผมเคยโพสต์แล้วนะ
             ผมเพิ่งโพสต์เมื่อต้นเดือนนี้เองว่า
ถ้าบุคลากรสังกัด กศน.ดำเนินการสอบนอกวันราชการของเขาก็เบิกได้เต็ม
             ผมโพสต์มีคำว่า
เต็มด้วย เพราะผมยังติดกับตำนานค่าคุมสอบ คือเราเคยใช้ระเบียบกระทรวงการคลังปี 2534 ซึ่งกำหนดอัตราค่าคุมสอบในวันทำงาน เบิกได้ครึ่งหนึ่งของอัตราค่าคุมสอบในวันหยุด ( ระเบียบกระทรวงการคลังนี้ แม้จะคุมสอบในวันทำงานก็เบิกได้นะ แต่เบิกได้ไม่เต็ม ผมติดคำว่า เต็ม มาจากระเบียบนี้ )

             ที่มาที่ไปของค่าคุมสอบคือ กระทรวงการคลังไม่ได้ออกระเบียบว่าด้วยการจ่ายเงินเกี่ยวกับการสอบปลายภาคไว้โดยเฉพาะ
             ( อาจเป็นเพราะว่าการสอบปลายภาคในโรงเรียนไม่ได้จ่ายเงิน มีแต่ของ กศน. ที่จ่ายเงิน )
             แต่มี
ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจ่ายเงินรางวัลเกี่ยวกับการสอบ พ.ศ.2534
             ระเบียบนี้กำหนดไว้ในข้อ 8 ของระเบียบว่า
            
ข้อ 8 เจ้าหน้าที่ดำเนินการสอบให้ได้เงินรางวัล ดังนี้
             (1)  ปฏิบัติงานไม่น้อยกว่า 3 ชั่วโมงในวันทำการปกติวันละ 50 บาท
             (2)  ปฏิบัติงานไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมงในวันทำการปกติวันละ 100 บาท
             (3)  ปฏิบัติงานไม่น้อยกว่า 3 ชั่วโมงในวันหยุดราชการวันละ 100 บาท
             (4)  ปฏิบัติงานไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมงในวันหยุดราชการ วันละ 200 บาท
             ข้าราชการที่ได้รับเงินรางวัลตามวรรคแรก ให้งดเบิกจ่ายค่าอาหารทำการนอกเวลาตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจ่ายเงินค่าอาหารทำการนอกเวลา

             สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (กรมการศึกษานอกโรงเรียน) จึงขออนุมัติกรมบัญชีกลาง ขอใช้ระเบียบนี้ ในการเบิกจ่ายค่าตอบแทนกรรมการและเจ้าหน้าที่ดำเนินการสอบในการจัดการศึกษานอกโรงเรียนสายสามัญโดยอนุโลม
             เมื่อได้รับอนุมัติแล้ว กศน. ก็แจ้งผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดและสถานศึกษาในสังกัด ตามหนังสือที่ ศธ 1106/5409 ลงวันที่ 16 ส.ค. 36 โดยแจ้งเหมือนข้อ 8. ของระเบียบนี้
             ( แต่พวกเรามาดัดแปลงกันเอง เช่นวันหนึ่งสอบ 3 วิชา ถ้าคุมสอบวิชาเดียวจ่าย 100 บาท ถ้าใครคุมสอบสองวิชาขึ้นไปจ่าย 200 บาท ทั้ง ๆ ที่ ในหนังสือ กศน. กำหนดตามข้อ 8. คือระบุจำนวนชั่วโมงไม่ใช่จำนวนวิชา )

             ต่อมา กระทรวงการคลังได้ยกเลิกระเบียบกระทรวงการคลังนี้ และให้ใช้ ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายค่าตอบแทนการสอบ พ.ศ.2549แทน
             ระเบียบปี 49 นี้ กำหนดในส่วนของเจ้าหน้าที่ดำเนินการสอบ ไว้ในบัญชีหมายเลข 2 ข้อ 4 ว่า การทดสอบสมรรถภาพร่างกาย หรือเจ้าหน้าที่ดำเนินการสอบ ให้ได้รับเงินค่าตอบแทน ดังนี้
             4.1  ปฏิบัติงานไม่น้อยกว่า 3 ชั่วโมงในวันทำการปกติ ไม่เกิน 100 บาทต่อวัน
             4.2  ปฏิบัติงานไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมงในวันทำการปกติ ไม่เกิน 200 บาทต่อวัน
             4.3  ปฏิบัติงานไม่น้อยกว่า 3 ชั่วโมงในวันหยุดราชการ ไม่เกิน 200 บาทต่อวัน
             4.4  ปฏิบัติงานไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมงในวันหยุดราชการ ไม่เกิน 400 บาทต่อวัน

             สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (กรมการศึกษานอกโรงเรียน) จึงต้องขออนุมัติกรมบัญชีกลาง อีกครั้ง ขอเบิกจ่ายตามหลักเกณฑ์และอัตราในระเบียบใหม่ คือระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจ่ายค่าตอบแทนการสอบ พ.ศ.2549 โดยอนุโลม
             เมื่อได้รับอนุมัติแล้ว สำนักบริหารงาน กศน. ก็แจ้งสถานศึกษาในสังกัด ตามหนังสือที่ ศธ 0210.117/5749 ลงวันที่ 11 ต.ค.49 ( ตามภาพประกอบโพสต์นี้ )
             เมื่อกระทรวงการคลังออกระเบียบใหม่ปรับเพิ่มอัตรา เราก็ขออนุฒัติใช้ระเบียบใหม่อีก จน กรมบัญชีกลางแจ้งว่า
ให้ส่วนราชการเป็นผู้กำหนดระเบียบภายในได้โดยไม่ต้องขอตกลงกับกระทรวงการคลังสำนักงาน กศน.จึงกำหนดรายการค่าใช้จ่ายเองตั้งแต่ภาคเรียนที่ 2/52 เป็นต้นมา และแจ้งทุกจังหวัด ตามหนังสือสำนักงาน กศน.ที่ ศธ 0210.117/4514 ลว.3 ธ.ค.52 ( ดูหนังสือฉบับนี้ได้ในข้อ 1 ที่ https://www.gotoknow.org/posts/481090 )
             รายการค่าใช้จ่ายที่สำนักงาน กศน.กำหนดเองนี้ ไม่พูดถึงการคุมสอบในวันหยุด วันทำงาน แล้ว ( ไม่มีเบิกเต็ม ไม่เต็ม แล้ว )
             เมื่อไม่พูดถึง ก็คงต้องยึดตามหลักของระบบราชการเรา คือ
            
ถ้าบุคลากรสังกัด กศน.ดำเนินการสอบในวันราชการของเขา ก็เบิกไม่ได้
             อย่างไรก็ตาม วันเวลาทำงานของแต่ละคนในหน่วยงานเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน ข้าราชการทั่วไปอาจทำงานวันจันทร์-ศุกร์ ส่วนครู กศน.อาจทำงานวันอาทิตย์-พฤหัสบดี หยุดวันศุกร์เสาร์  ( ในช่วงวิกฤติการจราจร เวลาทำงานของบุคลากรใน กทม.บางคนเริ่ม 8.00 น. บางคนเริ่ม 9.00 น. )
             ถ้าวันทำงานของใครเป็นวันอาทิตย์-พฤหัสบดี และเป็นกรรมการดำเนินการสอบวันอาทิตย์ก็เบิกเงินไม่ได้
             แต่บางอำเภอ ระหว่างภาคให้ครู กศน.ทำงานวันอาทิตย์-พฤหัสบดี แต่พอพบกลุ่มวันสุดท้ายเสร็จ ก็เปลี่ยนให้ครู กศน.มาทำงานวันศุกร์ หยุดวันเสาร์-อาทิตย์ทันที แบบนี้การคุมสอบวันอาทิตย์ก็เบิกได้
             แต่ ถ้าในสัญญาจ้าง-คำสั่งจ้าง ที่จังหวัดทำไว้ ระบุไว้ชัดเจนว่าให้ปฏิบัติงานในวันอาทิตย์ด้วย แบบนี้ก็จะเปลี่ยนไม่ได้
             หรือแม้สัญญาจ้าง-คำสั่งจ้าง ระบุไม่ชัดเจน แต่ ผอ.ยังให้หยุดวันศุกร์ทำงานวันอาทิตย์ในช่วงปิดเทอมอยู่เหมือนเดิม ก็เบิกค่าตอบแทนกรรมการดำเนินการสอบวันอาทิตย์ไม่ได้


 



         5. ด่วน.. เปลี่ยนแปลงอัตราการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนใหม่ ตั้งแต่ 20 มี.ค.61
             ดูหนังสือแจ้งที่ 
https://www.dropbox.com/s/7b4k52vjo4xphsv/Udnhun61.pdf?dl=1 
             มีการเปลี่ยนแปลงดังนี้  ( การซื้อการจ้าง ให้ดำเนินการตามระเบียบพัสดุ )
            
1)  เพิ่มรายการอัตราค่าซื้อเครื่องแบบลูกเสือวิสามัญและเครื่องแบบอาสายุวกาชาด สำหรับให้ นศ.ยืมใช้ สถานศึกษาละไม่เกิน 40 ชุด  ( ถ้าชำรุด จำหน่ายจากทะเบียน ตามระเบียบพัสดุ แล้วซื้อทดแทนใหม่ได้ )
                 
- ค่าเครื่องแบบลูกเสือวิสามัญ พร้อมเครื่องหมายประกอบ ชุดละไม่เกิน 1,500 บาท
                 
- ค่าเครื่องแบบอาสายุวกาชาด พร้อมเครื่องหมายประกอบ ชุดละไม่เกิน 400 บาท
            
2)  ค่าใช้สถานที่ ให้พิจารณาสถานที่หน่วยงานของรัฐเป็นอันดับแรก
            
3)  ค่าตอบแทนวิทยากรเป็นคณะ ชม.ละไม่เกิน 1,200 บาท ( เดิมไม่เกิน 600 บาท )
            
4)  ระบุในส่วนของการแข่งขันกีฬาระดับอำเภอ/เขต ดังนี้
                  
- ตัดค่าจ้างเหมายานพาหนะออก
                 
- ตัดค่าพลุ-ดอกไม้ไฟออก ลดค่าใช้จ่ายในพิธีเปิดปิด จากไม่เกิน 30,000 เหลือไม่เกิน 10,000 บาท
                 
- ลดค่าวัสดุและเครื่องแต่งกายขบวนพาเหรด จากไม่เกิน 3,000 เหลือไม่เกิน 1,000 บาท
                  
- ตัดค่าที่พักออก
            
5)  เพิ่มอัตราการเบิก ในการแข่งขันกีฬาระดับจังหวัด และระดับภาคขึ้นไป จำนวนระดับละ 11 รายการ


 



         6. วันที่ 23 มี.ค.61 มีผู้ถามผมในอินบ็อกซ์เฟซบุ๊ก ว่า  เส้นทางความก้าวหน้าในอาชีพ พวก38ค(2)ในสนง.จังหวัด การขอใบประกอบผู้บริหารฯ มีเกณท์ยังไงบ้างนอกจากจบบริหารการศึกษาที่คุรุสภารับรอง เพราะจากการติดต่อสอบถามจนท.คุรุสภาตอบไม่เคยตรงกันสักที ทำให้เกิดความไม่ชัดเจนและข้อสงสัยในการปฏิบัติ
             จนท.คุรุสภา จะบอกแค่ว่าเราไม่มีหน้าที่สอนไปสอนได้ไง เราบอกช่วยสอนและต้องการความก้าวหน้าในสาขาวิชาชีพเลยต้องทำตามคุณลักษณะที่คุรุสภากำหนด  ครั้งล่าสุดบอกว่าถ้ามีคำสั่งให้เป็นหัวหน้างานฯจะลดลงจาก 7 ปี เหลือ5ปี ต้องสอนต่อเนื่องอย่างต่ำ5ปีการศึกษา  โดยไม่มีอะไรการันตีว่าพอถึง5ปีจาก7ปีแล้วจะเปลี่ยนเกณไปเป็นแบบไหนอีก
             จึงอยากถามในเรื่องนี้เพื่อเป็นประโยชน์แก้ข้าราชการ38ค(2) ในเรื่องการขอใบประกอบต่างๆที่ทางคุรุสภากำหนด

             ผมตอบว่า   ที่ว่าลดการสอนจาก 7 ปี เหลือ 5 ปี ถ้ามีคำสั่งให้เป็นหัวหน้างาน นั้น คงเข้าใจผิด
             ที่ถูกคือ ไม่ใช่ 7 ปี แต่ให้มีประสบการณ์ด้านปฏิบัติการสอนในสถานศึกษามาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี
             หรือ
             มีประสบการณ์ด้านปฏิบัติการสอนไม่ครบ 5 ปี + มีประสบการณ์ในตำแหน่งหัวหน้าหมวดหรือหัวหน้าฝ่ายหรือหัวหน้างานหรือตำแหน่งบริหารอื่น ๆ ในสถานศึกษา ( ถ้าเป็นหัวหน้างานที่ สนง.กศน.จังหวัดไม่เกี่ยวนะ เพราะ สนง.กศน.จังหวัดไม่ใช่สถานศึกษา ) มาแล้วไม่น้อยกว่า 24 เดือนใน 3 ปีการศึกษา   หมายถึง ถ้าได้รับแต่งตั้งมอบหมายให้เป็นหัวหน้างานในสถานศึกษารวมไม่น้อยกว่า 24 เดือนใน 3 ปี ก็สอนไม่ครบ 5 ปีก็ได้

             ลองเสิร์ชดูข้อมูลที่ผมเคยโพสต์/ตอบ เช่น ใน
             - ข้อ 6 ที่  
https://www.gotoknow.org/posts/505575
             - ข้อ 4 ที่  
https://www.gotoknow.org/posts/471886
             - ข้อ 3.2 (4) ที่  
https://www.gotoknow.org/posts/476995
             - ข้อ 5.2 ที่  
https://www.gotoknow.org/posts/462139
             และ ดูคู่มือการขอใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต่าง ๆ ได้ที่
            
https://www.dropbox.com/s/3tik26l2j2ef2y8/ManualEdC.pdf?dl=1

         7. เช้าวันที่ 28 มี.ค.61 ผมนำภาพตัวเลขเงิน ชพค.-ชพส. ( ตามภาพประกอบโพสต์นี้ ) ไปลงในกลุ่มไลน์ต่าง ๆ
ปรากฏว่ามีสมาชิกกลุ่มไลน์ “ขับเคลื่อน พรบ.กศช.” เขียนว่า “ดูแปลกๆ... การหักส่วนกลางมีเกณฑ์อย่างไร เป็นเรื่องต้องรู้ยิ่ง”

             ผมตอบว่า
             - การหักเงินสงเคราะห์รายศพจากสมาชิก หักตามจำนวนผู้เสียชีวิตในงวดเดือนที่ผ่านมา ตัดยอดวันที่ 20 ( งวดที่ผ่านมาคือช่วง 21 ก.พ.-20 มี.ค.) ศพละ 1 บาท เช่น งวดเดือนที่ผ่านมา มีสมาชิก ชพค.เสียชีวิต 495 ศพ ก็หักสมาชิก ชพค.คนละ 495 บาท
             - ส่วนเงินที่ทายาทของ 1 ศพ จะได้รับนั้น จะได้ 96 % ของเงินที่หักได้จากสมาชิก เช่น ณ 20 มี.ค.61 มีจำนวนสมาชิก ชพค.คงเหลือทั้งสิ้น 947,860 คน หักเงินสมาชิกได้ศพละ 947,860 บาท ทายาทจะได้รับ 96 % เป็นเงิน 909,946 บาท เป็นต้น

             - เงินที่หักไว้ 4 % เป็นค่าบริหารจัดการ เช่น เจ้าหน้าที่ ชพค.-ชพส.ของทั้งส่วนกลางและทุกจังหวัด ทุกคนไม่ได้รับเงินเดือน/ค่าจ้างจากเงินงบประมาณนะ เป็นลักษณะเดียวกับสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ทั่วประเทศ แต่ได้เงินเดือน/ค่าจ้างจากเงิน 4 % นี้ นอกจากนั้นเงิน 4 % ยังใช้จ่ายเป็นค่าวัสดุสำนักงาน ค่าอุปกรณ์ต่าง ๆ ค่าสาธารณูปโภค ฯลฯ
             - มีการประกาศ ชื่อ-สกุล-จังหวัด ของสมาชิก ชพค.-ชพส.ที่เสียชีวิตทุกศพ ทุกงวดเดือน ไว้ที่ สนง.คุรุสภาทุกจังหวัด หรือทุกคนดูได้ในเว็บไซต์คุรุสภาที่
                http://www.otep-cpks.go.th/otepcpks/cpk-member-9/





 

วันเสาร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2561

1.ลืมส่งชื่อสอบ E-Exam ต้องทำไง, 2.การกำหนดรหัส นศ.ต่างด้าว, 3.ค่าใช้จ่ายที่ เป็นและไม่เป็น การจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบพัสดุ, 4.เราเรียกนักศึกษา กศน.ว่านักเรียนหรือนักศึกษา ดร.แย้งว่าเรียกนักศึกษา ผิด มีแหล่งอ้างอิงไหม, 5.ทำไมระเบียบการชักธงชาติในสถานศึกษา ไม่มีวันที่ 23 ตุลา, 6.วัสดุกับครุภัณฑ์, 7.การฝึกอบรมประชาชน

สัปดาห์นี้มีเรื่องที่คิดว่าน่าสนใจ ขอเลือกมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้  7  เรื่อง ดังนี้


         1. ดึกวันที่ 5 มี.ค.61 มีผู้ถามผมในอินบ็อกซ์แฟนเพจเฟซบุ๊ก ว่า  ถ้าส่งรายชื่อคนสอบe examกศน.ไม่ทัน ต้องทำไงบ้าง ครูเค้าลืมกรอก มารู้อีกทีหมดเขตลงแล้ว

             เรื่องนี้  ท่าน ผอ.กลุ่มพัฒนาระบบการทดสอบ กศน. บอกว่า  ให้ กศน.อำเภอ รีบทำเรื่องขอส่งรายชื่อเข้าสอบเพิ่มเติม ไปยัง กศน.จังหวัด ด่วน และ กศน.จังหวัด ทำเรื่องขออนุญาตต่อไปยัง เลขาธิการ  กศน. ถ้ามีจำนวนมากพอสมควร จะกำหนดขยายเวลาการสอบออกไปอีก โดยอาจเปิดให้สอบเพิ่มในเดือนถัดไป หรือไม่ก็ ถ้ามีจำนวนไม่กี่คน อาจต้องรอเปิดสอบในภาคเรียนต่อไป

             ( ถ้าเป็นความบกพร่องของ นศ. อาจให้รอสอบปลายภาคเรียนต่อไป แต่ถ้าเป็นความบกพร่องของบุคลากร ควรมีการลงโทษบุคลากร  ถ้าเป็นความบกพร่องครั้งแรกอาจแค่ว่ากล่าวตักเตือน ถ้าบกพร่องครั้งที่ 2 ควรมากกว่าว่ากล่าวตักเตือน มิฉะนั้นจะไม่ตระหนักในการปฏิบัติงานต่อไป )

         2. สถานศึกษา ที่มี นศ.ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร์ ( ยังไม่มีบัตรประจำตัว 13 หลัก เพราะยังไม่ไปขึ้นทะเบียนและจัดทำทะเบียนประวัติและบัตรประจำตัวกับหน่วยงานกระทรวงมหาดไทย )

             ให้สถานศึกษาดำเนินการตามขั้นตอนกำหนดรหัสประจำตัว นศ.เหล่านี้ ที่เว็บไซต์  http://www.gcode.moe.go.th
             ดูหนังสือแจ้งที่ 
https://www.dropbox.com/s/2mp4qr6r8f7lepv/NoThaiStudent.pdf?dl=1

         3. ค่าใช้จ่ายที่ เป็นและไม่เป็น การจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบพัสดุ

             1)  รายการค่าใช้จ่าย 15 รายการ ที่ถือเป็นการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบพัสดุ แต่ถ้าซื้อครั้งหนึ่งไม่เกิน 10,000 บาท ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบพัสดุข้อ 22 วรรค 1  ( ดูในตาราง 1 ) เช่น ค่าโล่ ใบประกาศเกียรติคุณ
             2)  รายการค่าใช้จ่าย 15 รายการ ที่ไม่ถือเป็นการจัดซื้อจัดจ้าง ไม่ต้องดำเนินการตามระเบียบพัสดุ ( ดูในตาราง 2 ) เช่น ค่าอาหารว่างและเครื่องดื่ม
             ดูตาราง 1-2 ในหนังสือแจ้งที่
            
https://www.dropbox.com/s/mdhjf482flkp8dn/pasaduV119.pdf?dl=1

         4. วันเสาร์ที่ 10 มี.ค.51 มีผู้ถามผมทางไลน์ ว่า  เราเรียกนักศึกษา กศน. ที่ถูกต้อง ต้องเรียกว่าอะไร นักเรียน หรือ นักศึกษา  ดร.อาจารย์ที่ปรึกษาทำวิจัย ป.โท แย้งมาว่า นักศึกษาเรียกระดับอุดมศึกษา เรามีแหล่งอ้างอิงไหม หาอ้างอิงให้ไม่ได้ รู้แต่เราใช้แบบนี้ ดูใน พรบ.ก็ไม่เห็น

             ผมตอบว่า  เรื่องนี้ เคยมีคนแย้งว่า กศน.เรียกผิด เพราะ ตามพจนานุกรม ให้ความหมายของคำว่า นักศึกษา หมายถึง ผู้มีความรู้สอบไล่ได้ไม่ตํ่ากว่ามัธยมศึกษาตอนปลายตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการหรือมีความรู้ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเทียบเท่า ซึ่งเข้ารับการศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา
             กศน.ใช้คำว่า นักศึกษา เพราะ คำว่า นักเรียน ใช้กับวัยเรียนในระดับประถม ม.ต้น ม.ปลาย ในระบบโรงเรียน แต่ นักศึกษา กศน.โดยปกติจะพ้นวัยตามเกณฑ์การศึกษาแล้ว แม้แต่ผู้สูงอายุก็ยังมาเรียน กศน.ระดับประถม จึงไม่เหมาะจะใช้คำว่านักเรียนกับบุคคลกลุ่มนี้

             ท่าน ดร.รุ่งอรุณ ผอ.กลุ่มพัฒนา กศน. บอกว่า ใช้คำว่า นักศึกษาผู้ใหญ่มาตั้งแต่ สมัยก่อน
             ( กศน.ไม่ได้เป็นผู้คิดหรือกำหนดคำนี้ขึ้นมา แต่คำนี้มีมาก่อนที่จะมี กศน. คือใช้คำว่านักศึกษาผู้ใหญ่มาตั้งแต่มี
การศึกษาผู้ใหญ่โดยรัฐบาลได้จัดตั้งกองการศึกษาผู้ใหญ่ขึ้นในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงธรรมการ เมื่อวันที่ 6 ส.ค.2483 เพื่อให้ปฏิบัติงาน ให้การศึกษาแก่ประชาชนให้อ่านออกเขียนได้และรู้หน้าที่พลเมืองตามระบอบประชาธิปไตยตั้งแต่พวกเรายังไม่เกิดกันเลย
             แต่เริ่มทดลองวิธีการในการจัดการศึกษาผู้ใหญ่เมื่อ พ.ศ.2484 ขยายงานในปี พ.ศ.2485 เน้นสอนประชาชนผู้ไม่รู้หนังสือที่มีอายุระหว่าง 20-45 ปี ยังไม่มีระดับมัธยมศึกษา ยังไม่มีอาชีวศึกษาผู้ใหญ่ ยังไม่มีห้องสมุดประชาชน  และแม้เมื่อมีกรมสามัญศึกษา กองการศึกษาผู้ใหญ่หรือ กญ. อยู่ในสังกัดกรมสามัญศึกษาคือนักศึกษาผู้ใหญ่อยู่ในสังกัดเดียวกับนักเรียนในระบบโรงเรียน ก็ไม่ได้เปลี่ยนมาเรียกนักศึกษาผู้ใหญ่ว่านักเรียน )

             ถ้าดูใน หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน( หลักสูตรปัจจุบันนี้ ) จะใช้คำว่า ผู้เรียน ส่วนใน คู่มือดำเนินงานหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานในส่วนของ บทนำ หลักการ จุดหมาย โครงสร้างหลักสูตร ฯลฯ จะใช้คำว่า ผู้เรียนแต่ในส่วนตั้งแต่การสมัครเรียนเป็นต้นไปจะใช้คำว่า นักศึกษาเช่น ใบสมัครเป็นนักศึกษา ขึ้นทะเบียนเป็นนักศึกษา การย้ายสถานศึกษาของนักศึกษา งานทะเบียนนักศึกษา ประกาศสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการเรื่องแนวปฏิบัติการรับนักศึกษาของสำนักบริหารงานการศึกษานอกโรงเรียน และ ในใบระเบียนแสดงผลการเรียน ( หลักฐานการจบการศึกษา : Transcript of Record ) ซึ่งออกตามคำสั่งกระทรวงศึกษาธิการ ใช้คำว่า รหัสประจำตัวนักศึกษา
             ถ้าจะหาเอกสารไปอ้างอิงกับอาจารย์ ก็ใช้เอกสารเหล่านี้ โดยเฉพาะ ใบระเบียนแสดงผลการเรียน

             หรือจะใช้คำว่า ผู้เรียน ก็ได้ ซึ่งคำว่าผู้เรียนนี้เป็นคำรวม ๆ ใช้ได้กับทั้ง ผู้เรียนสายสามัญ ( กศ.ขั้นพื้นฐาน ) และ ผู้เรียนสายอาชีพ ( กศ.ต่อเนื่อง )
             โดยตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการจัดการศึกษาต่อเนื่อง พ.ศ.2554 จะใช้คำว่า
ผู้เรียนซึ่งหมายความว่า ผู้ที่ได้สมัครเข้ารับการศึกษาต่อเนื่อง...
             ในส่วนของ กศ.ต่อเนื่อง จะใช้คำว่าผู้เรียนตลอด มีเผลอใช้คำว่านักศึกษาอยู่ที่เดียวคือในคู่มือการจัดจัดการศึกษาต่อเนื่องใช้คำว่า
จำนวนนักศึกษาในตัวอย่างบัญชีลงเวลาเรียนการจัดการศึกษาต่อเนื่อง
             แต่ผมว่า กศ.ต่อเนื่อง ไม่น่าจะใช้คำว่าผู้เรียนทั้งหมด แต่ใช้คำว่าผู้เรียนกับ รูปแบบกลุ่มสนใจและชั้นเรียน ซึ่งผู้เรียนต้องลงทะเบียนเป็นผู้เรียน ส่วนรูปแบบอบรมประชาชน น่าจะใช้คำว่า ผู้เข้าอบรมหรือผู้เข้ารับการอบรม เพราะไม่ต้องลงทะเบียนเป็นผู้เรียน

             อย่างไรก็ตาม ทั้ง กศ.ต่อเนื่อง และ กศ.ขั้นพื้นฐาน กศน.เราไม่ใช่คำว่า นักเรียน
             สรุป
             - กศ.ขั้นพื้นฐาน ( สายสามัญ ) ใช้คำว่า ผู้เรียน หรือ นักศึกษา
             - กศน.ต่อเนื่อง รูปแบบกลุ่มสนใจและชั้นเรียน ใช้คำว่า ผู้เรียน
             - กศน.ต่อเนื่อง รูปแบบอบรมประชาชน ใช้คำว่า ผู้เข้าอบรมหรือผู้เข้ารับการอบรม

         5. วันเดียวกัน ( เสาร์ที่ 10 มี.ค.) ผมนำระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการชักธงชาติในสถานศึกษา ฉบับใหม่ ไปลงในกลุ่มไลน์ ปรากฏว่า มีผู้ถาม ว่า  สงสัยว่าทำไมระเบียบการชักธงชาติในสถานศึกษา ไม่มีวันที่ 23 ตุลา

             ผมตอบว่า   วันที่ 23 ตุลา ไม่เคยให้ประดับธงชาติมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะเป็นวันสวรรคต ( วันตายมีแต่ให้ลดธงครึ่งเสา ส่วนวันเกิดหรือวันเฉลิมพระชนมพรรษา จึงจะมีการให้ชักธง )  วันสวรรคตของรัชกาลที่ 9 คือวันที่ 13 ตุลา ก็ให้เป็นวันหยุดราชการแต่ไม่ได้ให้ประดับธงชาติ

             เรื่องนี้มักมีคนสับสน จนผมเคยโพสต์ถามในเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 5 ธ.ค.2556 ว่า การประดับธงชาติ เช่นตามบ้านเรือน ในวันสำคัญ ให้ประดับในวันที่ 23 หรือ 24 ตุลา
             ( คำตอบที่ถูกต้องเป็นวันที่ 24 ตุลา เพราะเป็นวันสหประชาชาติ )






         6. ลองตอบคำถามกันครับ..

             1)  เก้าอี้ไม้ ราคา 200 บาท เป็นพัสดุประเภทใด ?
                  ก.  วัสดุคงทน
                  ข.  วัสดุสิ้นเปลือง
                  ค.  วัสดุอุปกรณ์ประกอบ
                  ง.  ครุภัณฑ์สำนักงาน
             2)  เก้าอี้พลาสติก ราคา 5,500 บาท เป็นพัสดุประเภทใด
?
                   ( ใช้ตัวเลือกชุดเดียวกับข้อ 1.)

             กศน.อำเภอ/จังหวัด จะใช้เงินงบดำเนินงานและเงินอุดหนุนรายหัว ซื้อครุภัณฑ์ไม่ได้นะ  เงินงบประมาณที่จะใช้ซื้อครุภัณฑ์ได้ ต้องได้รับจัดสรรมาโดยระบุว่าสำหรับซื้อครุภัณฑ์ใดโดยเฉพาะ
             ถ้าสงสัยว่า อะไรเป็นวัสดุ ( ซื้อได้ )
, อะไรเป็นครุภัณฑ์ ( ซื้อไม่ได้ ) ให้ดูตัวอย่าง รายการสิ่งของที่เป็นวัสดุ และรายการสิ่งของที่เป็นครุภัณฑ์ ที่
            
http://www.thailocalmeet.com/bbs/PDF/59/16816_1_1467001563095.pdf
             สิ่งของใดไม่มีชื่อในรายการข้างต้น ให้พิจารณาดังนี้
             - ครุภัณฑ์ คือ สิ่งของที่ โดยสภาพมีลักษณะคงทนถาวร มีอายุการใช้ยืนนาน เมื่อชำรุดเสียหายก็สามารถซ่อมแซมให้ใช้งานได้ดังเดิม
             - วัสดุ คือ สิ่งของที่ เมื่อใช้แล้วย่อมแปรเปลี่ยนสภาพหรือหมดไป หรือเป็นอะไหล่/ส่วนประกอบสิ่งของอื่น หรือคงทนแต่อายุการใช้งานไม่ยืนนานเมื่อชำรุดก็ไม่คุ้มที่จะซ่อมแซม

             ในการซื้อครุภัณฑ์ ส่วนมากเราจะได้รับการจัดสรรที่กำหนดราคาและสเป็คมาแล้ว แต่บางกรณีที่เราจะกำหนดเองเพื่อขอตั้งงบประมาณ หรือจะซื้อด้วยเงินรายได้สถานศึกษา/หน่วยงาน เราต้องดูมาตรฐานครุภัณฑ์ของสำนักงบประมาณ ซึ่ง ณ มี.ค.61 ดูบัญชีราคามาตรฐานครุภัณฑ์ฉบับเดือน ม.ค.61 ( จะมีการปรับปรุงราคาเป็นระยะ ๆ )  ดู "มาตรฐานครุภัณฑ์" ได้ที่  http://www.bb.go.th/bbhome/page.asp?option=content&dsc=%C3%D2%A4%D2%C1%D2%B5%C3%B0%D2%B9&folddsc=32004  

             เฉลย :  ปัจจุบันเลิกการกำหนดราคา 5,000 บาท แล้ว
             เก้าอี้ไม้ เป็นครุภัณฑ์ เพราะมีในตัวอย่างรายการสิ่งของที่เป็นครุภัณฑ์ และ สภาพคงทนถาวร ใช้นั่งแล้วไม่แปรเปลี่ยนสภาพหรือหมดไป เมื่อชำรุดก็ให้
ช่างไม้ซ่อมแซมให้เป็นสภาพเดิมได้
             ส่วน เก้าอี้พลาสติก เป็นวัสดุ เพราะมีในตัวอย่างรายการสิ่งของที่เป็นวัสดุ และ แม้จะมีสภาพคงทนใช้นั่งแล้วไม่แปรเปลี่ยนสภาพหรือหมดไป แต่เมื่อชำรุดโดยปกติจะไม่มี
ช่างพลาสติกซ่อมให้สภาพเหมือนเดิม

         7. จัดกันยังไง ? กป.กศน.กำหนดคู่มือให้จัดอบรมประชาชน 1-3 วัน แต่ให้อบรมภาษาอังกฤษเพื่ออาชีพ 30 ชม.
             เย็นวันที่
13 มี.ค.61 ผมตอบคำถามที่มีผู้ถามในอินบ็อกซ์เฟซบุ๊ก ว่า  โครงการอบรมภาษาอังกฤษเพื่ออาชีพ กศน.ให้จัดตามคู่มืออบรมประชาชน คำถามคือ เราสามารถ อบรบ แล้วก็ดูงาน ในโครงฯเดียวกันได้เลยมัย อบรม 2 วัน ดูงาน 1 วัน (แล้วทำไมในคู่มือต้องกำหนดโครงการ 1-3 วันด้วย ถ้าจัดมากกว่านี้ได้มัย)

             ผมตอบว่า   การจัดฝึกอบรมประชาชนในโครงการต่าง ๆ ก็ให้จัดอยู่ภายใน กรอบ คู่มือฝึกอบรมประชาชน เป็นธรรมดา  คู่มือฝึกอบรมประชาชน ที่ว่า โครงการ 1-3 วัน นั้น เป็น "คู่มือของการจัดการศึกษาต่อเนื่อง รูปแบบการฝึกอบรมประชาชน ของทุกโครงการ/กิจกรรม" ( ยกเว้นการจัดเวทีประชาคม จำนวนวันตามความเหมาะสม )
             แต่ สำหรับ โครงการภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารด้านอาชีพ นี้ กำหนดว่า ในแต่ละรุ่นให้จัดหลักสูตร
30 ชั่วโมง จำนวน 30 คน งบประมาณ 31,000 บาท
             ในทางปฏิบัติคงทำได้ยากหรือทำไม่ได้ เพราะ
             - จะให้ครบ 30 ชม.ใน 3 วัน ต้องเป็นลักษณะการเข้าค่ายมีภาคกลางคืนทั้ง 3 วัน รวมทั้งวันสุดท้ายด้วย ซึ่งไม่เหมาะกับประชาชน ( ชาวบ้าน )  นอกจากจะจัดกับ นศ.กศน.ตามสไตล์เราโดยบอกว่า นศ.เราเป็นกลุ่มอาชีพเดียวกัน
             - ถ้าจะจัดเฉพาะกลางวัน 4 วัน ให้ครบ 30 ชม. ต้องวันละ 7 ชม. 30 นาที เริ่มตั้งแต่ 8.30 น. เลิก 17.00 น. พักกลางวัน 1 ชม. วันสุดท้ายก็ต้องเลิก 17.00 น. ซึ่งก็ไม่เหมาะกับชาวบ้าน

             ตามหลักการ หลักสูตรเกิน 30 ชั่วโมง จำนวนคนเกิน 30 คน ไม่เป็นไร แต่งบประมาณไม่เกิน 31,000 บาท เราต้องเขียนโครงการทำหลักสูตรขึ้นมา จำนวนไม่ต่ำกว่า 30 ชั่วโมง ในจำนวนชั่วโมงนี้จะมีการศึกษาดูงานด้วยหรือไม่ก็ได้ ขอให้สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ ( ประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่ผ่านการอบรมสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ในการประกอบอาชีพและดำเนินชีวิตประจำวันได้ )
             ตามกรอบการฝึกอบรมประชาชนทั่วไปให้จัดไม่เกิน 3 วัน แต่ถ้า 3 วัน ไม่ครบ 30 ชม. จะจัดเกิน 3 วันเพื่อให้ครบ 30 ชม.ก็ไม่เป็นไรหรอก ถ้าเงิน 31,000 บาทพอจัด ( จำนวนคนไม่น้อยกว่า 30 คนนะ )

             ครูแหม่ง ราชมนตรี (กล้วยไม้ดิน คนนอกระบบ) บอกว่า  ขั้นตอนที่นี่ จัดทำโครงการ ทำหลักสูตร กำหนดตารางการอบรม จัดรูปแบบการฝึกอบรมประชาชน จัดฝึกอบรม 30 ช.ม. 6 วันๆละ 5 ช.ม.ค่ะ ตามแนวทางที่แนบมาพร้อมการจัดสรรงบประมาณค่ะ
             ผมตอบว่า  ก็คงต้องเป็นอย่างนั้น   ผมก็งงว่าทำไมคู่มือการฝึกอบรมกำหนดว่าให้อบรม
1-3 วัน ซ้ำยังวงเล็บว่ายกเว้นการจัดเวทีประชาคมด้วย เป็นการย้ำว่าอย่างอื่นไม่ยกเว้น ต้องจัด 1-3 วัน
             อาจเป็นเพราะโครงการนี้เหมาะที่จะจัดรูปแบบชั้นเรียนหลักสูตรไม่ต่ำกว่า
30 ชม. แต่ก็อยากให้เบิกจ่ายเงินได้มากแบบฝึกอบรม จึงออกมาเป็นอย่างนี้
            
นายหนุ่ม เขาแก้ว ถามว่า  หลักสูตรฝึกอบรมจะทำแบบชั้นเรียนได้มั้ย มีการวัดก่อนและหลัง มีหลักสูตรที่ชัดเจนอาจจะดึงเนื้อหามาจากหนังสือเรียนในส่วนที่เกี่ยวข้อง
             ผมตอบว่า  ได้ซิ ทุกหลักสูตร หรือแม้แต่ทุกกิจกรรม ควรมีการประเมินผลว่าทำได้ดีหรือไม่แค่ไหน ซึ่งการ
Post Test อย่างเดียว หรือ Pre + Post Test ก็เป็นการประเมินที่ชัดเจนกว่าการสังเกต/การสรุปแบบคิดเอาเอง   เมื่อก่อน จังหวัดจัดอบรมต่าง ๆ ก็มีการ Pre-Post Test
             เรื่อง หลักสูตร/เนื้อหา ก็เอามาจากหนังสือเรียนได้ เขาบอกประเด็นนี้ไว้ในแนวทางการดำเนินงานโครงการนี้แล้ว

             Santitham Banchang MJ บอกว่า กศน.ตำบลบ้านฉาง ระยอง รับสมัครผู้เรียนเป็นประชาชนทั่วไปเพื่อฝึกอาชีพนวดเพื่อสุขภาพ หลักสูตร 60 ชั่วโมง จำนวน 20 คน หลังจากฝึกอาชีพเสร็จ เว้น 2 วัน เปิดโครงการสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารด้านอาชีพนวดแผนไทยต่ออีก 6 วัน วันละ 5 ชั่วโมง จำนวน 30 คน โดยมาจากผู้เรียน 20 คนแรกที่อบรมอาชีพมาร้อนๆกับอีก 10 คนจากสถานประกอบการนวดไทยที่มีอยู่แล้วในพื้นที่ เพราะเป็นสถานที่รองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่แล้วจึงมีความต้องการด้านภาษา
             ผมตอบว่า  ดีจัง