สัปดาห์นี้มีเรื่องที่คิดว่าน่าสนใจ
ขอเลือกมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ 7 เรื่อง ดังนี้
1. วันอาทิตย์ที่ 3 เม.ย.59 มีผู้ถามในอินบ็อกซ์เฟซบุ๊คผม ว่า หนูเป็นครู ปวช.กศน ทำงานมาแล้ว 6 ปี และเป็นลูกจ้างชั่วคราว ตำแหน่งลูกจ้างชั่วคราวของ กศน. มีสิทธิ์ลาพักผ่อนได้หรือไม่
1. วันอาทิตย์ที่ 3 เม.ย.59 มีผู้ถามในอินบ็อกซ์เฟซบุ๊คผม ว่า หนูเป็นครู ปวช.กศน ทำงานมาแล้ว 6 ปี และเป็นลูกจ้างชั่วคราว ตำแหน่งลูกจ้างชั่วคราวของ กศน. มีสิทธิ์ลาพักผ่อนได้หรือไม่
ผมตอบว่า ครู
ปวช.กศน.ไม่ใช่ลูกจ้างชั่วคราว ครู
ปวช.กศน.ไม่มีสิทธิลาพักผ่อน
ลูกจ้างชั่วคราวต้องจ้างด้วยงบบุคลากร มีเลขที่อัตรา ( นิติกร กจ.กศน.บอกว่า กศน.ไม่มีลูกจ้างชั่วคราวมานานแล้ว )
2. วันที่ 4 เม.ย.59 ผอ.กศน.อ. ท่านหนึ่ง ถามผมว่า เครื่องพิมพ์ ( Printer ) เป็นครุภัณฑ์หรือไม่ ซื้อได้หรือไม่
ลูกจ้างชั่วคราวต้องจ้างด้วยงบบุคลากร มีเลขที่อัตรา ( นิติกร กจ.กศน.บอกว่า กศน.ไม่มีลูกจ้างชั่วคราวมานานแล้ว )
2. วันที่ 4 เม.ย.59 ผอ.กศน.อ. ท่านหนึ่ง ถามผมว่า เครื่องพิมพ์ ( Printer ) เป็นครุภัณฑ์หรือไม่ ซื้อได้หรือไม่
เรื่องนี้ เครื่องพิมพ์
( Printer ) เป็น “สิ่งของที่โดยสภาพมีลักษณะคงทนถาวร
มีอายุการใช้งานยืนนาน
เมื่อชำรุดเสียหายแล้วสามารถซ่อมแซมให้ใช้งานได้ดังเดิม” จึงเป็น
ครุภัณฑ์ ซึ่งปัจจุบันถ้าเป็นครุภัณฑ์ไม่ว่าจะราคาเท่าไร ก็ใช้เงินงบดำเนินงานซื้อไม่ได้
( เงินรายได้สถานศึกษา ซื้อได้ ส่วนเงินอุดหนุนรายหัว กศ.ขั้นพื้นฐาน เป็นงบดำเนินงานประเภทหนึ่ง ใช้ซื้อไม่ได้ ถ้าจะใช้งบประมาณซื้อ งบลงทุนซื้อได้ )
3. เช้าวันที่ 12 เม.ย.59 ผมเผยแพร่ในเฟซบุ๊ค เรื่อง สำรวจ กศน.ตำบล ที่มีที่ดินพร้อมสำหรับก่อสร้างอาคาร กศน.ตำบล ( เนื้อที่อย่างน้อย 20 X 25 เมตร )
ดูหนังสือแจ้งที่ https://db.tt/orIxjNol
4. เช้ามืดวันเสาร์ที่ 16 เม.ย.59 Tanyaluk Neamprapan ถามในอินบ็อกซ์เฟซบุ๊คผม ว่า เราสามารถตัด มส.นักศึกษาได้ไหม ถ้าได้หรือไม่ ขอระเบียบด้วย
( เงินรายได้สถานศึกษา ซื้อได้ ส่วนเงินอุดหนุนรายหัว กศ.ขั้นพื้นฐาน เป็นงบดำเนินงานประเภทหนึ่ง ใช้ซื้อไม่ได้ ถ้าจะใช้งบประมาณซื้อ งบลงทุนซื้อได้ )
3. เช้าวันที่ 12 เม.ย.59 ผมเผยแพร่ในเฟซบุ๊ค เรื่อง สำรวจ กศน.ตำบล ที่มีที่ดินพร้อมสำหรับก่อสร้างอาคาร กศน.ตำบล ( เนื้อที่อย่างน้อย 20 X 25 เมตร )
ดูหนังสือแจ้งที่ https://db.tt/orIxjNol
4. เช้ามืดวันเสาร์ที่ 16 เม.ย.59 Tanyaluk Neamprapan ถามในอินบ็อกซ์เฟซบุ๊คผม ว่า เราสามารถตัด มส.นักศึกษาได้ไหม ถ้าได้หรือไม่ ขอระเบียบด้วย
ผมตอบว่า
1) ให้ มส. ( ไม่มีสิทธิเข้าสอบปลายภาค ) แก่นักศึกษาได้ โปรแกรม ITw ก็มีเมนูให้ลง มส.
1) ให้ มส. ( ไม่มีสิทธิเข้าสอบปลายภาค ) แก่นักศึกษาได้ โปรแกรม ITw ก็มีเมนูให้ลง มส.
2) ระเบียบคือ
ประกาศสำนักงาน กศน.ฉบับลงวันที่ 8
ต.ค.55 ข้อ 2 ที่กำหนดว่า วิธีเรียนรู้แบบ กศน. ( หลักสูตร 51 มีวิธีเรียนวิธีเดียว คือวิธีเรียนรู้แบบ กศน.
แต่มีรูปแบบการเรียนหลายรูปแบบ เช่นรูปแบบพบกลุ่ม รูปแบบทางไกล ) ต้องมีเวลาพบกลุ่มหรือพบครูไม่น้อยกว่า 75 % จึงจะมีสิทธิเข้าสอบปลายภาคเรียน ยกเว้นเฉพาะ นศ.ของสถาบัน กศ.ทางไกล
ถ้าผู้เรียนมีระยะเวลาการพบกลุ่มหรือพบครูไม่ถึงร้อยละ 75 แต่ถึงร้อยละ 50 ให้อยู่ในดุลยพินิจของผู้บริหารสถานศึกษาที่จะพิจารณาอนุญาตให้เข้าสอบปลายภาคเรียน ( ถ้าไม่ถึงร้อยละ 50 ผู้บริหารก็อนุญาตให้เข้าสอบไม่ได้ )
ดาวน์โหลดประกาศฉบับนี้ได้ที่ https://db.tt/rFV5M591
ถ้าผู้เรียนมีระยะเวลาการพบกลุ่มหรือพบครูไม่ถึงร้อยละ 75 แต่ถึงร้อยละ 50 ให้อยู่ในดุลยพินิจของผู้บริหารสถานศึกษาที่จะพิจารณาอนุญาตให้เข้าสอบปลายภาคเรียน ( ถ้าไม่ถึงร้อยละ 50 ผู้บริหารก็อนุญาตให้เข้าสอบไม่ได้ )
ดาวน์โหลดประกาศฉบับนี้ได้ที่ https://db.tt/rFV5M591
คน กศน.จำนวนไม่น้อย
ไม่เห็นด้วยกับหลักเกณฑ์นี้ แต่...
พอมีการคำนวณร้อยละของผู้เข้าสอบ/ขาดสอบปลายภาค
โดยบางครั้งใช้จำนวนผู้มีสิทธิสอบเป็นจำนวนเต็ม ก็มีผู้หันมาใช้ประกาศฉบับนี้ลง
มส.ให้นักศึกษา เพื่อให้จำนวนเต็มลดลง จำนวนร้อยละของผู้เข้าสอบจะได้เพิ่มขึ้น
ผมคิดว่า เพื่อช่วยแก้ปัญหานักศึกษาผี
( นักศึกษาที่ไม่ได้ลงชื่อในใบลงทะเบียนเรียนด้วยตนเอง )
ควรใช้จำนวนผู้ลงทะเบียนเรียน
เป็นจำนวนเต็มในการคำนวณร้อยละของผู้เข้าสอบ/ขาดสอบปลายภาค
5. คืนวันเดียวกัน ( เสาร์ที่ 16 เม.ย.59 ) บุญชนะ ครูนกฮูก ล้อมสิริอุดมิ ถามในอินบ็อกซ์เฟซบุ๊คผม ว่า ข้าราชการ ได้รับมอบหมายให้สอนในวันอาทิตย์ เบิกค่าปฏิบัติงานนอกเวลาได้ไหม
5. คืนวันเดียวกัน ( เสาร์ที่ 16 เม.ย.59 ) บุญชนะ ครูนกฮูก ล้อมสิริอุดมิ ถามในอินบ็อกซ์เฟซบุ๊คผม ว่า ข้าราชการ ได้รับมอบหมายให้สอนในวันอาทิตย์ เบิกค่าปฏิบัติงานนอกเวลาได้ไหม
ผมตอบว่า โดยปกติ เคยมีหนังสือราชการแจ้งนานแล้วว่า
บุคลากรสังกัด กศน.สอนนอกเวลาราชการ เบิกได้ แต่.. มีหนังสือสำนักงาน กศน.แจ้งให้ข้าราชการครูสอนเสริมสัปดาห์ละ
6 ชั่วโมง และไม่ให้เบิกค่าตอบแทน ( อยู่ในข้อ 2.6 ของแนวนโยบายฯแนบหนังสือสั่งการ ที่ https://db.tt/LkvYKiCV
และ ท่านเลขาธิการ กศน. นายสุรพงษ์ จำจด สั่งการในที่ประชุมที่ จ.สุโขทัย เมื่อวันที่ 12 พ.ย.58 ว่า “ข้าราชการครู กศน. ได้หารือกรมบัญชีกลางแล้ว แม้จะสอนนอกเวลาราชการ เบิกไม่ได้ เพราะเป็นบทบาทหน้าที่โดยตรง ให้สอนโดยไม่เบิก”
เมื่อเบิกค่าสอนไม่ได้ ก็เบิกค่าปฏิบัติงานนอกเวลาไม่ได้เช่นกัน ( ค่าปฏิบัติงานนอกเวลาราชการ เป็นการปฏิบัติงานนอกเวลาในสำนักงาน )
และ ท่านเลขาธิการ กศน. นายสุรพงษ์ จำจด สั่งการในที่ประชุมที่ จ.สุโขทัย เมื่อวันที่ 12 พ.ย.58 ว่า “ข้าราชการครู กศน. ได้หารือกรมบัญชีกลางแล้ว แม้จะสอนนอกเวลาราชการ เบิกไม่ได้ เพราะเป็นบทบาทหน้าที่โดยตรง ให้สอนโดยไม่เบิก”
เมื่อเบิกค่าสอนไม่ได้ ก็เบิกค่าปฏิบัติงานนอกเวลาไม่ได้เช่นกัน ( ค่าปฏิบัติงานนอกเวลาราชการ เป็นการปฏิบัติงานนอกเวลาในสำนักงาน )
ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินค่าสอนพิเศษและค่าสอนเกินภาระงานสอนในสถานศึกษาและสถาบันอุดมศึกษา
พ.ศ.2551 กำหนดว่า ถ้าสอนเกินภาระงานสอนก็จะเบิกได้
( ระดับ ม.ต้น-ปลาย ชั่วโมงละ 200
บาท ) เช่น บทบาทหน้าที่ของ
ขรก.ครู กศน. ที่ ก.ค.ศ.กำหนดคือ ต้องสอนตามตารางสอนไม่น้อยกว่าสัปดาห์ละ 10 ชั่วโมง
และมีภาระงานสอนอื่นอีกรวมเป็นสัปดาห์ละไม่ต่ำกว่า 18 ชั่วโมง
ถ้าสอนเกินนี้และสอนนอกเวลาราชการโดยไม่หยุดในวันทำการ ก็เบิกได้
ถ้ามีเงินให้เบิกและผู้บริหารให้เบิก
(
ผมเองก็เคยสอนเสริมในวันอาทิตย์ทั้งเช้าและบ่าย
ก็ไม่ได้เบิก แต่ ขอหยุดในวันธรรมดา 1 วัน
เหมือนกับครู กศน.อื่นที่พบกลุ่มวันอาทิตย์หยุดวันศุกร์ )
6. วันที่ 19 เม.ย.59 มี ขรก.จาก สนง.กศน.จังหวัดใกล้เคียง มาหาผมที่
กศน.อ.ผักไห่ จะเชิญผมไปร่วมเป็นวิทยากรเรื่องวิชาเลือกเสรี/โปรแกรมการเรียนรู้
และขอหนังสือฉบับที่แจ้งให้ กศน.อำเภอตรวจสอบวุฒิเอง แทนจังหวัด ( หนังสือฉบับปี 2553 )
7. ตามหนังสือสำนักงาน กศน. ที่ ศธ 0210.03/1733 เรื่องขอความร่วมมือจัดการเรียนการสอนวิชาเลือกเสรีโดยการพัฒนาเป็นโปรแกรมการเรียนรู้
ลงวันที่ 28 มี.ค.59 (
ดูหนังสือฉบับนี้ได้ที่https://db.tt/CtMuFC6S ) กำหนดว่า
ภาคเรียนที่ 1/59 ให้แต่ละจังหวัดมีสถานศึกษานำร่อง
ลงทะเบียนเรียนวิชาเลือกเสรีตามโปรแกรมการเรียนรู้ จังหวัดละอย่างน้อย 1 อำเภอ
ส่วนอำเภออื่นที่ยังไม่มีโปรแกรมการเรียนรู้ ในภาค 1/59 ให้นักศึกษาใหม่ลงทะเบียนเรียนเฉพาะวิชาบังคับและวิชาเลือกบังคับ
1) “โปรแกรมการเรียนรู้” คล้ายแผนการเรียนรายบุคคล หรือคล้ายแผนการเรียนในหลักสูตรเก่า
( ที่มีแผน ก แผน ข แผน ค เหมือนกันทุกแห่ง ) แต่โปรแกรมการเรียน
จะมีหลากหลายมากกว่าแผนการเรียน ต่างอำเภอจะมีโปรแกรมการเรียนแตกต่างกัน หรืออาจมีโปรแกรมที่เหมือนกันได้
ถ้าสภาพ/ความต้องการของผู้เรียนเหมือนกัน
“โปรแกรมการเรียน” แปลให้เข้าใจง่าย คือ “กลุ่มวิชาเลือกเสรี” ที่ตรงกับสภาพ/ความต้องการ ของผู้เรียน/ชุมชน
ผู้เรียนแต่ละคนให้เลือกเรียนโปรแกรมเดียว ที่ตรงกับสภาพ/ความต้องการ เช่น โปรแกรมปั้นเตาอั้งโล่ โปรแกรมการเลี้ยงปลา โปรแกรมการเลี้ยงกบ โปรแกรมขับรถบรรทุก โปรแกรมเสริมสวย โปรแกรมนำเที่ยวท้องถิ่น โปรแกรมสำหรับผู้ต้องการศึกษาต่อ ฯลฯ
“โปรแกรมการเรียน” แปลให้เข้าใจง่าย คือ “กลุ่มวิชาเลือกเสรี” ที่ตรงกับสภาพ/ความต้องการ ของผู้เรียน/ชุมชน
ผู้เรียนแต่ละคนให้เลือกเรียนโปรแกรมเดียว ที่ตรงกับสภาพ/ความต้องการ เช่น โปรแกรมปั้นเตาอั้งโล่ โปรแกรมการเลี้ยงปลา โปรแกรมการเลี้ยงกบ โปรแกรมขับรถบรรทุก โปรแกรมเสริมสวย โปรแกรมนำเที่ยวท้องถิ่น โปรแกรมสำหรับผู้ต้องการศึกษาต่อ ฯลฯ
2) เมื่อกำหนดโปรแกรมการเรียนรู้โดยใช้ผู้เรียนและชุมชนเป็นฐานในการกำหนดแล้ว
ก็ต้องกำหนดรายวิชาในแต่ละโปรแกรมให้ครบจำนวนหน่วยกิต
รายวิชาต่าง ๆ ในแต่ละโปรแกรมนี้คือรายวิชาเลือกเสรี เช่น ระดับ ม.ปลาย ต้องเรียนวิชาเลือกไม่น้อยกว่า 32 หน่วยกิต ( จำนวนหน่วยกิตวิชาบังคับและวิชาเลือกยังเท่าเดิม ) เป็นวิชาเลือกบังคับที่ส่วนกลางกำหนดแล้ว 6 หน่วยกิต ถ้าสถานศึกษาไม่กำหนดวิชาเลือกบังคับเพิ่มขึ้นอีก จะเหลือเป็นวิชาเลือกเสรี 26 หน่วยกิต ฉะนั้น ในแต่ละโปรแกรมก็ต้องมีรายวิชาเลือกเสรีที่รวมทุกรายวิชาต้องไม่น้อยกว่า 26 หน่วยกิต
รายวิชาต่าง ๆ ในแต่ละโปรแกรมนี้คือรายวิชาเลือกเสรี เช่น ระดับ ม.ปลาย ต้องเรียนวิชาเลือกไม่น้อยกว่า 32 หน่วยกิต ( จำนวนหน่วยกิตวิชาบังคับและวิชาเลือกยังเท่าเดิม ) เป็นวิชาเลือกบังคับที่ส่วนกลางกำหนดแล้ว 6 หน่วยกิต ถ้าสถานศึกษาไม่กำหนดวิชาเลือกบังคับเพิ่มขึ้นอีก จะเหลือเป็นวิชาเลือกเสรี 26 หน่วยกิต ฉะนั้น ในแต่ละโปรแกรมก็ต้องมีรายวิชาเลือกเสรีที่รวมทุกรายวิชาต้องไม่น้อยกว่า 26 หน่วยกิต
3) ผมถามกลุ่มพัฒนา
กศน.ว่า สถานศึกษาจะกำหนดให้มีวิชาเลือกบังคับเพิ่มขึ้นอีกได้ไหม กพ.ตอบว่าได้ (
ผมไม่แน่ใจว่านโยบายท่านเลขาฯเป็นอย่างไร แต่ กพ.ตอบว่าได้ ผมก็จะยึดว่าสถานศึกษาสามารถกำหนดให้มีวิชาเลือกบังคับเพิ่มขึ้นอีกได้
( กพ.ยกตัวอย่างว่า สิงห์บุรีก็มี
วิชาสิงห์บุรีบ้านเรา เป็นวิชาเลือกบังคับ แต่ผมดูโปรแกรมของ กศน.ตำบลบางมัญ
อ.เมืองสิงห์บุรี ที่ กพ.กรุณาส่งมาให้ผมดูแล้ว
เขาเพิ่งกำหนดรายวิชาเลือกเสรีในโปรแกรมการเรียนรู้ไว้เพียงโปรแกรมเดียว
โดยมีรายวิชาสิงห์บุรีบ้านเราอยู่ในโปรแกรมนี้
ไม่ได้บอกว่ารายวิชาสิงห์บุรีบ้านเราเป็นวิชาเลือกบังคับ
ยังไม่แน่ว่าโปรแกรมอื่นจะมีวิชานี้หรือไม่ )
เมื่อมีวิชาเลือกบังคับเพิ่มขึ้น จำนวนหน่วยกิตของวิชาเลือกเสรีในแต่ละโปรแกรมก็จะลดลง
เมื่อมีวิชาเลือกบังคับเพิ่มขึ้น จำนวนหน่วยกิตของวิชาเลือกเสรีในแต่ละโปรแกรมก็จะลดลง
4) กพ. บอกว่า
อำเภอที่นำร่องในภาค 1/59
ต้องนำร่องทั้ง 3 ระดับ โดยมีโปรแกรมการเรียนรู้ให้เรียนในภาค 1/59 อย่างน้อยระดับละ 1 โปรแกรมก่อนก็ได้
ภาคเรียนต่อไปค่อยพัฒนาโปรแกรมเพิ่มขึ้น
โดยในแต่ละโปรแกรมต้องกำหนดชื่อรายวิชาและจำนวนหน่วยกิตของแต่ละรายวิชาไว้ให้ครบถ้วนก่อนเปิดให้ลงทะเบียนเรียน
แต่เนื้อหา/หนังสือเรียน อาจพัฒนาไว้เพียงบางรายวิชาสำหรับใช้เรียนในภาค 1/59 ก่อน รายวิชาอื่น ๆ
กำหนดไว้แต่ชื่อและจำนวนหน่วยกิตก่อนก็ได้
5) รายวิชาเลือกเสรีต้องสอดคล้องกับโปรแกรม
เช่น โปรแกรมเกษตรกร อาจประกอบด้วยรายวิชาการทำปุ๋ยชีวภาพ แต่รายวิชาการทำผ้าบาติคคงจะอยู่ในโปรแกรมเกษตรกรไม่ได้
โดยให้ สนง.กศน.จังหวัด
เป็นผู้พิจารณาความสอดคล้องของรายวิชาเลือกเสรีกับโปรแกรม
รวมทั้งเป็นผู้กำหนดสัดส่วนคะแนนและวิธีการวัดผลประเมินผลในแต่ละรายวิชา
ให้สอดคล้องกับธรรมชาติของวิชา ก่อนให้สถานศึกษานำไปใช้
6) บางรายวิชาอาจอยู่ซ้ำในหลายโปรแกรมได้
เช่นรายวิชา Mini MBA อาจอยู่ในทุกโปรแกรมที่เกี่ยวกับการประกอบอาชีพ/ธุรกิจ
ในแต่ละระดับมีชื่อโปรแกรมเหมือนกันได้ แต่รายวิชาในแต่ละระดับไม่ให้เหมือนกัน ไม่ให้มีวิชารหัส 0 ที่เหมือนกันทุกระดับ
ในแต่ละระดับมีชื่อโปรแกรมเหมือนกันได้ แต่รายวิชาในแต่ละระดับไม่ให้เหมือนกัน ไม่ให้มีวิชารหัส 0 ที่เหมือนกันทุกระดับ
7) ถ้าแต่ละอำเภอมีหลายโปรแกรม
จำนวนวิชาเลือกทั้งหมดยิ่งจะมาก
เพราะแต่ละโปรแกรมย่อมต้องมีวิชาเลือกบางวิชาหรือหลายวิชาที่ไม่ซ้ำกัน
แต่ละโปรแกรมก็มีจำนวนหน่วยกิตวิชาเลือกไม่น้อยกว่าเดิมที่เราบ่นตรงกันว่าวิชามาก
เป็นปัญหา การมีหลายโปรแกรมยิ่งจะมีวิชามากขึ้นอีก วิธีแก้ปัญหาคือ กำหนดให้แต่ละรายวิชามีหน่วยกิตมาก
ก็จะลดจำนวนวิชาลงได้ กพ.บอกว่า
ระดับประถมวิชาละไม่น้อยกว่า 2
หน่วยกิต ระดับ ม.ต้น-ปลาย
วิชาละไม่น้อยกว่า 3 หน่วยกิต ยิ่งจำนวนหน่วยกิตในแต่ละวิชาน้อย
จำนวนวิชายิ่งมาก ยิ่งเป็นปัญหาในการบริหารจัดการมากกว่าเดิม เช่นระดับ ม.ปลาย รายวิชาเลือกเสรีรวม 26 หน่วยกิต ถ้าวิชาละ 3 หน่วยกิต ก็ต้องมีถึง 9 วิชาในแต่ละโปรแกรม ( วิชาบังคับกับวิชาเลือกบังคับอีก 16 วิชา เมื่อรวมวิชาเลือกเสรีในโปรแกรมการเรียนอีก
9 วิชา เป็น 25 วิชา คือมีโปรแกรมเดียวก็มี 25 วิชาแล้ว )
8) อำเภอที่ยังไม่นำร่อง ยังไม่มีโปรแกรมการเรียน
เมื่อยังไม่มีโปรแกรมการเรียนก็จะยังไม่มีรายวิชาเลือกเสรี
เพราะยังไม่รู้ว่าจะเป็นโปรแกรมเกี่ยวกับวิชาอะไร ภาคเรียนที่ 1/59 จึงให้เรียนเฉพาะวิชาบังคับกับวิชาเลือกบังคับก่อน
โดยให้เรียนวิชาบังคับมากกว่าปกติเพื่อทดแทนวิชาเลือก ควรคุยรวมกันทั้งจังหวัดว่าภาคเรียนที่ 1/59 อำเภอที่ไม่นำร่องควรให้ นศ.ใหม่ เรียนวิชาบังคับวิชาใดบ้าง
ให้เหมือนกันทั้งจังหวัด จะได้ง่ายต่อการบริหารจัดการ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น/ข้อเสนอแนะ/ข้อสงสัย