วันเสาร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

1.วิธีเช็กสิทธิประกันสังคมผ่านเว็บไซต์, 2.เทียบโอนแล้วเหลือวิชาเลือกเพียง 1 นก.ก็ต้องเรียนวิชาเลือกบังคับ, 3.เมื่อไม่ไปสอบ N-NET ( เหตุผลที่ สทศ.ไม่ให้สอบ N-NET อีก ), 4.อยู่ในคุก จะสอบ E-Exam ยังไง, 5.พนักงานราชการ ทำงานรับใช้แผ่นดิน หลังเกษีนณมีสิทธิประโยชน์อะไร หรือออกไปแต่ตัวอย่างเดียว !, 6.ใช้งบพัฒนาผู้เรียน อบรมลูกเสือ BTC ให้ นศ.ได้ไหม เบิกอย่างไรได้บ้าง, 7.อินทรธนูข้าราชการครู


สัปดาห์นี้มีเรื่องที่คิดว่าน่าสนใจ ขอเลือกมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้  7  เรื่อง ดังนี้


         1. วิธีเช็กสิทธิประกันสังคมผ่านเว็บไซต์

             1)  เข้าเว็บไซต์  https://www.sso.go.th/wpr/main/login
             2)  คลิก "เข้าสู่ระบบ/สมัครสมาชิก" ที่มุมบนขวา
             3)  หากเคยสมัครสมาชิกไว้แล้ว ใส่รหัสผู้ใช้งาน/รหัสผ่าน
             4)  แต่หากยังไม่เคยสมัครสมาชิก ให้เลือก "สมัครสมาชิก"
                  - จะปรากฏหน้า "นโยบายการคุ้มครองสิทธิ์ข้อมูลส่วนบุคคล" ให้คลิก "ฉันยอมรับข้อตกลงในการให้บริการ" แล้วกด "ถัดไป"
                  - กรอกข้อมูลส่วนตัวให้ครบทุกช่องแล้วกด "ถัดไป"
                  - เข้าสู่หน้ายืนยันตัวตน ให้กดขอรับรหัส
OTP ซึ่งจะส่ง SMS มาให้ทางโทรศัพท์มือถือ เมื่อได้รับรหัสแล้ว ให้มากรอกรหัสแล้วกด "ยืนยัน" ระบบจะขึ้นข้อความ "การลงทะเบียนเสร็จสมบูรณ์ กรุณาล็อกอินเข้าระบบ"
                  - จากนั้น กลับไปที่หน้า
Home คลิกเลือก "เข้าสู่ระบบ/สมัครสมาชิก" อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ให้กรอกรหัสผู้ใช้งาน คือ เลขบัตรประจำตัวประชาชน และรหัสผ่านตามที่เราตั้งไว้ เท่านี้ก็สามารถเข้าระบบได้แล้ว
             5)  หากต้องการเช็กสิทธิของตัวเองให้เลือก "ผู้ประกันตน"
                  เมื่อคลิกเข้ามาแล้วจะเจอข้อมูลส่วนตัวของเรา และรายละเอียดสิทธิประโยชน์
                  เราสามารถตรวจสอบสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ในแต่ละหัวข้อได้เลยว่า ได้ใช้สิทธิ์ไปบ้างแล้วหรือยัง โดยมีให้เลือกคือ
                  - ข้อมูลการส่งเงินสมทบ
                  - ยื่นแบบขอเปลี่ยนสถานพยาบาล
                  - ประวัติการเปลี่ยนแปลงสถานพยาบาล
                  - การใช้สิทธิประโยชน์ทดแทน
                  - การคำนวณเงินสงเคราะห์ชราภาพ (ดูว่าเรามีเงินชราภาพอยู่เท่าไรแล้ว)
                  - ขอเบิกสิทธิประโยชน์กรณีคลอดบุตร
                  - ขอเบิกสิทธิประโยชน์กรณีสงเคราะห์บุตร
                  - ขอเบิกสิทธิประโยชน์กรณีว่างงาน
                  - ขอเบิกสิทธิประโยชน์กรณีชราภาพ
                  - เลือกบัญชีธนาคารเพื่อรับเงิน
                  - ประวัติการทำรายการ

             นอกจากนี้ยังสามารถตรวจสอบข้อมูลด้านสิทธิประโยชน์จากกองทุนประกันสังคม ไม่ว่าจะเจ็บป่วย คลอดบุตร ว่างงาน รวมทั้งสิทธิผู้ประกันตนมาตรา 39 และ 40 ได้
             หากสงสัยตรงไหน สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์สำนักงานประกันสังคม หรือโทร.สายด่วน 1506

         2. การเรียนวิชาเลือกบังคับสำหรับผู้ที่เทียบโอน ถ้าเทียบโอนวิชาเลือกได้ทั้งหมด ก็ไม่ต้องเรียนวิชาเลือกบังคับและวิชาเลือกเสรี แต่ ถ้าเทียบโอนวิชาเลือกได้ไม่ครบถ้วน แม้เหลือวิชาเลือกอีกเพียง 1 หน่วยกิต ก็ต้องเรียนวิชาเลือกบังคับ จึงจะจบหลักสูตร

             แม้เทียบโอนแล้วเหลือวิชาเลือกบังคับ 3 นก.ในระดับประถม เหลือ 4 นก.ในระดับ ม.ต้น-ปลาย ก็ต้องเรียนวิชาเลือกบังคับ 2 วิชา ( รวม 2 วิชา เกิน 3 หรือ 4 นก. )
             ดูหนังสือแจ้งที่
            
https://www.dropbox.com/s/6offmu9522x5rwv/selectfixT.pdf?dl=1

         3. วันอาทิตย์ที่ 11 ก.พ.61 ชยานนท์ ไทยเนียมน้อย ถามต่อท้ายโพสต์ของผมที่  https://nfeph.blogspot.com/2017/05/rdnfe-n-net-2-44-3-4-5-6-7.html  ว่า  คนที่จะจบเทอมนี้แล้วไม่ไปสอบn-netจะจบไหม

             ผมตอบว่า  โพสต์นี้บอกไว้ชัดเจนแล้วนะ ว่า ยังไม่สอบ N-NET ก็ยังไม่จบ

             ผู้ถาม ถามต่อ ว่า  อ๋อครับและสามารถแก้ได้ไหมครับ
             ผมตอบว่า  ทำไมไม่ไปสอบ
N-NET ล่ะ
             กศน. เปิดให้สอบ
N-NET ทุกปลายเทอม ถ้าไปสอบปลายเทอมหน้าก็จบปลายเทอมหน้า
             ที่ผ่านมา ผู้ที่มีเหตุผลความจำเป็นพลาดการสอบ
N-NET จะให้ไปสอบ E-Exam แทนในเดือนถัดไปนี้เลย ไม่ต้องรอถึงปลายเทอมหน้า ตอนหลังคนที่ไม่จำเป็นจริงแต่ไม่ไปสอบ N-NET คอยสอบ E-Exam แทน มีมาก จนการสอบ E-Exam รับไม่ค่อยไหว เขาจึงกำหนดหลักเกณฑ์ผู้มีสิทธิสอบ E-Exam ใหม่

             ให้คุณยื่นคำร้องต่อ กศน.อำเภอ ขอสอบ E-Exam แทนในเดือนหน้า โดยชี้แจงเหตุผลความจำเป็นอย่างละเอียด  เพราะถ้า กศน.อำเภอ ส่งชื่อคุณเข้าสอบ N-NET แล้วคุณปล่อยให้ที่นั่งคุณในห้องสอบว่าง สทศ.คงไม่ให้คุณเข้าสอบ N-NET ในเทอมใดอีกแล้ว เนื่องจาก ถ้ารู้ก่อนว่าคนจะไม่เข้าสอบมากอาจลดห้องสอบได้ เมื่อห้องสอบลดลงจะไม่เสียงบประมาณต่าง ๆ เช่น ค่าข้อสอบ ค่ากรรมการคุมสอบ กรรมการกลางก็อาจลดได้ ฯลฯ การที่คุณไม่ไปสอบจึงทำให้เสียงบประมาณแผ่นดินไปเปล่า ๆ เขาต้องพิมพ์ข้อสอบและจัดห้องสอบล่วงหน้าตามจำนวนที่ กศน.อำเภอส่งรายชื่อเข้าสอบ
             เช่น สมมุติว่า มีห้องสอบ 5 ห้อง โดยห้องสอบที่ 5 มีรายชื่อผู้มีสิทธิสอบเพียง 15 คน  ถ้ารู้ก่อนว่าเมื่อถึงเวลาสอบจะมีผู้ขาดสอบเฉลี่ยห้องละ 3 คน รวม 5 ห้องเป็น 15 คน ก็จะพิมพ์ข้อสอบลดลง 15 ชุด และจัดห้องสอบใหม่ให้มีเพียง 4 ห้อง ประหยัดงบประมาณค่าตอบแทนกรรมการคุมสอบและอื่น ๆ เพราะจำนวนห้องสอบใช้ในการคำนวณจำนวนกรรมการกลางอื่น ๆ ด้วย )

             ( บางแห่ง เข้าสอบวิชาเดียวก็ถือว่าสอบแล้ว บันทึกภาคเรียนที่สอบ N-NET ลงโปรแกรม ITw เลย แบบนั้นไม่ถูกต้อง  ตามหลักเกณฑ์ที่ถูกต้อง ๆ สอบ 2 วิชาจึงจะบันทึกภาคเรียนที่สอบลงโปรแกรม เพราะถ้าลงภาคเรียนแล้ว โปรแกรมจะเข้าใจผิดว่าสอบ N-NET แล้ว และยอมให้จบ )






         4. วันที่ 12 ก.พ.61 Sansuk Amnuaykun ถามต่อท้ายโพสต์ของผมในเฟซบุ๊กกลุ่มครูนอกระบบ ว่า
            
1)  ในกรณีที่นักศึกษาเรือนจำ มีชื่อสอบ N-net แต่มีเหตุสุดวิสัย นักศึกษาป่วย ไม่สามารถเข้าสอบได้ จะออกมาสอบ E-Exam ก็ไม่ได้ กรณีเช่นนี้จะแก้ปัญหาให้นักศึกษาอย่างไร
            
2)  กรณีที่นักศึกษามีชื่ออยู่ในสนามสอบนอกเรือนจำ แต่ติดคุกก่อนสอบ จะแก้ปัญหาให้นักศึกษาจบได้อย่างไร
             อยากจะแก้ปัญหาให้นักศึกษาคะ

             เรื่องนี้   ผมเรียนถามท่าน ผอ.กลุ่มพัฒนา กศน. ท่านไปถามเอาคำตอบมาจากกลุ่มพัฒนาระบบการทดสอบ อีกทอด ว่า..
             ให้สถานศึกษาติดต่อ สทศ.ขอคืนสิทธิ์ให้ นศ.กรณีทั้งสองนี้ ซึ่งจะถูกตัดสิทธิไม่ให้สอบ
N-NET เพราะเคยขาดสอบ ให้ได้สิทธิสอบ N-NET อีกครั้งในภาคเรียนหน้า ด้วยเหตุต้องโทษ แล้วภาคเรียนหน้าให้เขาสอบ N-NET ที่สนามสอบในเรือนจำ ซึ่ง สทศ.เขามีหลักเกณฑ์วิธีการนี้อยู่แล้ว ถ้าหาในเว็บ สทศ.ไม่พบก็ลองโทร.ถาม สทศ.ก่อนก็ได้ว่ามีวิธีการให้ติดต่ออย่างไร

         5. คืนวันที่ 13 ก.พ.61 มีผู้ถามผมในอินบ็อกซ์เฟซบุ๊ก ว่า  อยากทราบชีวิตหลังเกษียณอายุการทำงานรับใช้แผ่นดินของครู กศน.(พนักงานราชการ)ว่าจะมีสิทธิประโยชน์อะไรบ้าง ที่พอจะมีความหวังและวางแผนอนาคตบั้นปลายชีวิตบ้าง หรือออกไปแต่ตัวอย่างเดียว

             ผมตอบว่า   ให้เสิร์ชหาดูคำตอบเดิม ๆ ของผมที่เกี่ยวข้อง เช่น
             - เรื่องทำไมพนักงานราชการไม่รู้  ในข้อ 1 ที่  
http://nfeph.blogspot.com/2018/02/thaination.html
                และ ข้อ 7 ที่
https://www.gotoknow.org/posts/508111
             - เรื่องอยากรู้ไหม ข้อมูลประกันสังคมของตัวเอง เช่น จ่ายเงินสมทบไปเท่าไรแล้ว จะได้เงินบำเหน็จบำนาญชราภาพเท่าไรแล้ว เรามีสิทธิประกันสังคมอะไรบ้าง ใช้สิทธิไปบ้างหรือยัง  ในข้อ 1 ของโพสต์นี้

             1)  ทำไมจึงมีพนักงานราชการขึ้นมา
                  เดิมประเทศไทยมีข้าราชการ ลูกจ้างประจำ ซึ่งเป็นภาระค่าใช้จ่ายภาครัฐค่อนข้างสูงทั้งในเรื่องสวัสดิการต่าง ๆ บำเหน็จบำนาญ รวมถึงคุณภาพในการทำงานใน
ระบบราชการ ( เช้าชามเย็นชาม )จึงปรับเปลี่ยนเป็นระบบพนักงานราชการ จ้างตามวาระสัญญา เทียบกับรูปแบบบริษัท รัฐวิสาหกิจ ที่บุคคลกระตือรือร้นในการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพ
                  โดยกำเนิดพนักงานราชการขึ้นครั้งแรกในปี 2547 รวม 10 กว่าปีแล้ว ซึ่งตั้งแต่ปี 47 ประเทศไทยไม่มีการบรรจุลูกจ้างประจำคนใหม่อีกเลย  ส่วนข้าราชการ ถ้าเกษียณจะถูกลดอัตราลงทุกปี ( แต่ 3 ปีหลัง ข้าราชการครูที่เกษียณได้รับอัตราคืนมาเป็นข้าราชการ 100 % ส่วนกระทรวงอื่น ๆ จะถูกลดอัตราข้าราชการลงทุกปี  ในอนาคตแต่ละสำนักงานอาจจะมี ผอ.คนเดียวเท่านั้นที่เป็นข้าราชการ นอกนั้นเป็นพนักงานราชการ )
                  เหตุผลหนึ่งที่มีพนักงานราชการขึ้นมา ก็เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายภาครัฐ
                  พนักงานราชการที่เกษียณช่วงนี้ ถ้าอายุงาน 15 ปีขึ้นไป แสดงว่าตอนบรรจุใหม่ ๆ ไม่ได้เป็นพนักงานราชการ แต่เป็นลูกจ้างชั่วคราวซึ่งมีสวัสดิการน้อย เพราะ ประเทศไทยเพิ่งมีพนักงานราชการไม่เกิน 15 ปี
                  ( ที่จริง ราชการ ไม่ใช้คำว่า เกษียณ กับพนักงานราชการ แต่เป็นการ หมดสัญญาจ้าง คล้ายกับการหมดสัญญาจ้างในแต่ละรอบ เพียงแต่รอบสุดท้ายให้ทำสัญญาถึงสิ้นปีงบประมาณของปีที่อายุครบ 60 แล้วไม่ต่อสัญญาอีก )

             2)  เรื่องสิทธิประโยชน์ของพนักงานราชการ จะมีในข้อสอบที่ใช้สอบบรรจุต่าง ๆ ใครเคยสอบก็ต้องดูหนังสือเตรียมสอบในเรื่องสิทธิประโยชน์ของพนักงานราชการนี้
                  พนักงานราชการ จะได้รับเงินเดือนเป็นรายเดือนซึ่งเรียกว่า
ค่าตอบแทนโดยได้รับมากกว่าข้าราชการ 20 % เช่นพนักงานราชการได้ 18,000 บาท ในขณะที่ข้าราชการพลเรือนได้ 15,000 บาท
                  ส่วนที่เกินในแต่ละเดือน 20 % นี้ แบ่งได้เป็น บำเหน็จบำนาญ 10 % ค่าประกันสังคมส่วนที่หักจากลูกจ้าง 5 % และค่าสวัสดิการต่าง ๆ เช่น ค่าการศึกษาบุตร ค่ารักษาพยาบาล ค่าตรวจสุขภาพ 5 %
                  ข้าราชการยังไม่ได้เงินเหล่านี้ ต้องทำเรื่องเบิกเป็นครั้ง ๆ โดยบำเหน็จบำนาญก็ต้องคอยไปได้ตอนเกษียณ แต่พนักงานราชการได้โดยอัตโนมัติทุกเดือน
                  ถ้าวางแผนเก็บออมไว้กว่าจะเกษียณก็เป็นเงินก้อนใหญ่
                  เช่นบรรจุใหม่ได้เงินเดือนเกินข้าราชการเดือนละ 3,000 บาท รวมเป็นปีละ 36,000 บาท ถ้าทำงาน 30 ปีเกษียณก็เท่ากับรวมได้ประมาณ 1 ล้าน 8 หมื่นบาท เฉลี่ยเป็นบำเหน็จบำนาญประมาณ 540,000 บาท
                  พนักงานราชการทุกกระทรวง ตอนออก ไม่มีบำเหน็จบำนาญจากกรม เพราะได้รับอยู่ทุกเดือนแล้ว จึงรับเพิ่มไม่ได้อีก นอกจากไปรับทางประกันสังคม ซึ่งประกันสังคมก็มีระบบบำเหน็จบำนาญสำหรับพนักงานราชการที่เกษียณด้วย

         6. วันที่ 16 ก.พ.61 มีผู้ถามผมในอินบ็อกซ์เฟซบุ๊ก ว่า  เราสามารถฝึกอบรมนักศึกษา กศน.ในเรื่องของลูกเสือ BTC ได้ไหม เพื่อให้นักศึกษา เป้นรอผู้กำกับลูกเสือช่วยเหลือครู กศน.ตำบล เพราะการอบรมลูกเสือคือต้องมีคุณสมบัติ อายุ 18 ปีขึ้นไป วุฒิม3 และหากอบรมได้ จะใช้งบพัฒนคุณภาพผู้เรียนได้หรือไม่ จะเบิกอย่างไรได้บ้าง

             ผมตอบว่า   กิจกรรมลูกเสือ มีในกรอบการจัดกิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ข้อ 2.7 อยู่แล้ว และเกณฑ์ค่าใช้จ่ายการจัดกิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียนจากเงินอุดหนุน ในตารางข้อ 1.1-1.9 ที่  https://www.dropbox.com/s/24vx30wq37r7luz/Criteriamoney.pdf?dl=1  ก็กำหนดไว้แล้วว่า เบิกอย่างไรได้บ้าง
             แต่ กิจกรรมลูกเสือที่จัดกับนักเรียนนักศึกษานั้น ( ตามกรอบข้อ
2.7 ) ต้องเป็นกิจกรรมเพื่อพัฒนาให้ผู้เรียนเป็นผู้ที่มีจิตอาสา  มีความเสียสละในการช่วยเหลือผู้อื่น  เป็นลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่ หรือลูกเสือวิสามัญ
             ส่วนการอบรมหลักสูตร
B.T.C. ( ผู้กำกับลูกเสือ  หลักสูตรนี้ไม่ได้ให้เราดัดแปลงเป็นอบรมรองผู้กำกับหรือผู้ช่วยผู้กำกับ  กศน.ชอบยืดหยุ่นดัดแปลงไปเรื่อย ) ต้องอบรมครูหรือบุคลากรทางการศึกษา
            
( - ลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่ อายุ 14–18 ปี หรือ กำลังเรียนอยู่ในชั้นมัธยมศึกษา
               
- ลูกเสือวิสามัญ อายุ 16–25 ปี หรือ กำลังเรียนอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย
               
- ผู้กำกับกองลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่ อายุไม่น้อยกว่า 23 ปี และต้องได้รับเครื่องหมายวูดแบดจ์ประเภทลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่ S.S.W.B.
               
- ผู้กำกับกองลูกเสือวิสามัญ อายุไม่น้อยกว่า 25 ปี และต้องได้รับเครื่องหมายวูดแบดจ์ประเภทลูกเสือวิสามัญ R.W.B. )

         7. คืนวันที่ 16 ก.พ.61 มีผู้ถามผมในอินบ็อกซ์เฟซบุ๊ก ว่า  ข้าราชการครูของ กศน.ยังใช้ระเบียบนี้อยู่ไหม ( การติดอินทรธนูตามภาพประกอบข้อนี้ )

             ผมตอบว่า   ใช่
             ผู้ถาม ถามต่อ ว่า  ฉันเงินเดือน 18,270 บาท ถ่ายรูปติดบัตรข้าราชใส่แบบนี้ ถ้าบุคลากรจังหวัดให้ใช้แบบระดับปฏิบัติการ ( 3 แถบเล็ก แถบบนขมวด ) ฉันควรทำอย่างไร หรือให้ยึดตามงานบุคลากรจังหวัดบอก/ถ้าใส่ไม่ถูกจะมีผลอะไรไหม

             ผมตอบว่า  ก็เอารูปนี้ ให้งานบุคลากรจังหวัดดู ถ้าเขามีระเบียบที่แตกต่างและใหม่กว่า ก็ขอระเบียบเขามาพิจารณาอีกที
             ( รูปนี้ ขรก.ครูและบุคลากรทางการศึกษาอื่นที่ต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพคือ ศน.ให้ดูในคอลัมน์ที่ 2  ส่วน ขรก.พลเรือนและบุคลากรทางการศึกษาอื่นที่ไม่ต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพให้ดูในคอลัมน์ที่ 3  ซึ่งเป็นไปตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องการกำหนดให้ใช้เครื่องหมายตำแหน่งของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ลงวันที่ 16 ส.ค.53 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 127 ตอนพิเศษ 102 ง วันที่ 14 ต.ค.53 หน้า 25-26   ดูประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีนี้ได้ที่
            
https://www.dropbox.com/s/pn9vzphc3g9v8nl/inthanuTeacher.pdf?dl=1  )


วันอาทิตย์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

1.ทำไมพนักงานราชการไม่รู้เรื่อง, 2.นำข้อมูลโปรแกรม ITw ลงในเครื่องอื่น ให้ครูใช้เช็คข้อมูลต่างๆ ผิดไหม, 3.ขรก.เกษียณโดยอายุราชการไม่ครบ 25 ปี เลือกรับบำนาญได้ไหม, 4.อบรมประชาชนวันละไม่เกินกี่ชั่วโมง กี่ชั่วโมงจึงเบิกค่าอาหารกลางวันได้, 5.การรับ นศ.ที่ไม่มีทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย, 6.ขออนุญาตใครแน่ ถ้าพานักศึกษาไปค้างคืน, 7.จะทำยังไง กรณีครู กศน.ตำบล ถูกเปลี่ยนพื้นที่



สัปดาห์นี้มีเรื่องที่คิดว่าน่าสนใจ ขอเลือกมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้  7  เรื่อง ดังนี้

         1. เย็นวันที่ 25 ม.ค.61 มีผู้ถามผมในอินบ็อกซ์เฟซบุ๊ก ว่า  อยากตะขอสอบถามว่า พนักงานราชการที่ขอลาออก จะมีสิทธิ์ได้บำเหน็จตามระเบียบไหม
             ผมถามกลับ ว่า  พูดถึงเรื่องประกันสังคม หรือเรื่องอะไร จะรับบำเหน็จจากไหน
             ผู้ถาม บอกว่า  จากกรม

             ผมตอบว่า  พนักงานราชการทุกกระทรวง ตอนออก ไม่มีบำเหน็จบำนาญ จากกรม เพราะ ได้รับอยู่ทุกเดือนแล้ว  ผมโพสต์ 4-5 ครั้งแล้ว เช่น ใน
             - ข้อ 7 ที่  https://www.gotoknow.org/posts/508111
             - ข้อ 1 ที่  http://nfeph.blogspot.com/2017/08/prggasean.html
             - เรื่องแรก ที่  https://www.gotoknow.org/posts/550346
             - ในความเห็นด้านท้าย ที่  https://www.gotoknow.org/posts/479534
             - ข้อ 7 ที่  https://www.gotoknow.org/posts/531213
             - ข้อ 7 ที่  https://www.gotoknow.org/posts/480329
             ว่า

             พนักงานราชการบรรจุใหม่ จะได้รับเงินเดือนมากกว่าข้าราชการพลเรือนบรรจุใหม่ที่วุฒิเดียวกัน อยู่ 20 % เช่นปัจจุบันพนักงานราชการบรรจุใหม่ได้ 18,000 บาท แต่ข้าราชการได้ 15,000 บาท
              ( มากกว่า 20 % มาตลอดตั้งแต่ประเทศไทยมี พรก.  ตอน ขรก.ได้ 7,940 บาท พรก.บรรจุใหม่ได้ 9,530 บาท ไม่รวมค่าครองชีพ, เมื่อปรับเงินเดือนให้ ขรก.ได้ 9,140 บาท พรก.ได้ 10,970, 1 ม.ค.55 ขรก.บรรจุใหม่ได้ 11,680 พรก.ได้ 14,020 )
             ส่วนที่พนักงานราชการได้เกินข้าราชการในแต่ละเดือน
20 % นี้ แบ่งเป็น
             - ค่าประกันสังคมส่วนที่หักจากลูกจ้าง 5 %
             - ค่าสวัสดิการต่าง ๆ เช่น ค่าการศึกษาบุตร ค่ารักษาพยาบาล ค่าตรวจสุขภาพ 5 %
             - บำเหน็จบำนาญ 10 %

             ผู้ถาม ๆ ต่อ ว่า  ค่าการศึกษาบุตรได้ด้วยหรือ ไม่ทราบมาก่ินเลย สงสัยคงต้องอ่านระเบียบให้แม่นแล้วล่ะ ส่วนเงินบำเหน็จบำนาญ10%คิดอย่างไร และเมื่อไร ถ้าขอลาออกจะได้ในส่วนนี้หรือไม่
             ผมตอบว่า  โอย.. ก็เงินเหล่านี้คุณได้ไปแล้ว ได้ไปทุกเดือนแล้วไง เงินเดือนที่คุณได้มากกว่าข้าราชการอยู่ทุก ๆ เดือนนั่นแหละ

             ส่วนข้าราชการเขายังไม่ได้เงินเหล่านี้ เขาต้องทำเรื่องเบิกเอาเป็นครั้ง ๆ  โดยบำเหน็จบำนาญก็ต้องคอยไปได้ตอนเกษียณ
             แต่พนักงานราชการได้โดยอัตโนมัติทุกเดือน
             เช่นบรรจุใหม่ได้เดือนละ
3,000 บาท ( เงินเดือนข้าราชการ 15,000 เงินเดือนพนักงานราชการ 18,000 ซึ่งมากกว่า 3,000 ) รวมเป็นปีละ 36,000 บาท ถ้าทำงาน 30 ปีเกษียณก็เท่ากับรวมได้ประมาณ 1 ล้าน 8 หมื่นบาท เฉลี่ยเป็นบำเหน็จบำนาญประมาณ 540,000 บาท เป็นค่าสวัสดิการต่าง ๆ 270,000 บาท เป็นค่าลูกจ้างสมทบประกันสังคม 270,000 บาท )
             จึงรับเพิ่มไม่ได้อีก
             นอกจากไปรับทาง ประกันสังคม

         2. คืนวันศุกร์ที่ 26 ม.ค.61 มีผู้ถามผมในอินบ็อกซ์เฟซบุ๊ก ว่า  ข้อมูล it งานพื้นฐาน สามารถนำข้อมูลจากตัวแม่มาลงในเครื่องตัวลูก เพื่อความสะดวกในการเช็คข้อมูลให้ครูๆ ได้มั้ย เพื่อความสะดวกในการทำงานสามารถเช็ครายการลงทะเบียน/นักศึกษาที่คาดว่าจะจบ/กพช. และตารางสอบได้สารพัด มีความผิดมั้ยถ้านำมาลงให้ครูในเครื่องลูกในสำนักงานหรือโน้ตบุ๊คครูๆเขา

             ผมตอบว่า   ผมโพสต์วิธีการทำ 4-5 ครั้งแล้ว ซึ่งเราต้องไม่ให้คนอื่นรู้รหัสผ่านที่สามารถแก้ข้อมูลสำคัญได้ รหัสผ่านที่จะให้คนอื่นใช้ในการเข้าโปรแกรมได้ต้องเป็นรหัสผ่านที่ดูข้อมูลต่าง ๆ ได้ แต่แก้ไขข้อมูลสำคัญบางอย่างไม่ได้
             อ่านในข้อ 8 (12) ที่ 
http://nfeph.blogspot.com/2013/10/itw.html

             ผู้ถาม ถามต่อว่า  ตัวแม่ ครูๆไม่ยุ่ง เพราะจะมีการแก้ไขข้อมูล แต่จะอัพข้อมูลให้เครื่องอีกเครื่องหนึ่ง เพื่อไว้เช็คข้อมูลเฉยๆ ได้มั้ย
             ผมตอบว่า  ถึงจะเป็นเครื่องลูก ถ้าเขาเข้าโดยรหัสผ่านที่ใช้ทำอะไรได้ทุกอย่าง เขาก็อาจนำเครื่องปริ้นท์มาต่อตอนคนอื่นไม่อยู่ แล้วแก้ข้อมูลออกใบ รบ.ปลอมได้ง่าย
             ( เพื่อความไม่ประมาทเลินเล่อ ควรกำหนดว่า เครื่องลูกเข้าโปรแกรมได้ด้วยรหัสผ่านอะไร และแจ้งรหัสผ่านนั้นให้ทุกคนรู้ โดยกำหนดในโปรแกรม ว่ารหัสผ่านนั้นซึ่งไม่ใช่รหัสเดียวกับเครื่องแม่ ไม่สามารถเข้าแก้ไขข้อมูลบางเมนูได้ )
             รหัสผ่านเครื่องแม่ ต้องไม่ให้ผู้ที่ไม่มีหน้าที่รับผิดชอบ รู้

         3. วันเสาร์ที่ 27 ม.ค.61 มีผู้ถามผมในอินบ็อกซ์เฟซบุ๊ก ว่า  เกิด 23 มี.ค 2507 บรรจุเป็นข้าราชการครู มีนาคม 2544 มีสิทธิ์รับบำนาญใหม

             ผมตอบว่า   ถ้าออกตอนอายุราชการ 10 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป และอายุตัว 50 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปด้วย เลือกรับบำนาญได้ ( ดูข้อ 4.2 ในตารางที่  https://www.gpf.or.th/thai2013/about/pension-thai-compare.asp )

         4. วันที่ 29 ม.ค.61 มีผู้ถามผมทางไลน์ ว่า  มีคนขอดูระเบียบการศึกษาต่อเนื่อง การอบรมประชาชน ว่าอบรมได้วันละกี่ ช.ม. ดูแล้วไม่เห็นกำหนด  แต่ถ้าเรียนวิชาชีพกำหนดให้ไม่เกินวันละ 5 ช.ม.  ถ้าจะเบิกอาหารกลางวันต้องอบรมวันละกี่ ช.ม. จึงจะเบิกค่าอาหารได้ ดูในระเบียบอบรมไม่พูดถึง ดูจากไหน

             ผมตอบว่า
             - ระเบียบหลักเกณฑ์การศึกษาต่อเนื่องปัจจุบัน ส่วนกลางกำหนดจำนวนชั่วโมงเฉพาะแบบกลุ่มสนใจ วันละไม่เกิน 3 ชั่วโมง ส่วนแบบชั้นเรียนและแบบอบรมประชาชน ส่วนกลางไม่ได้กำหนดจำนวนชั่วโมงต่อวันแล้ว จึงอยู่ในดุลยพินิจของผู้บริหารระดับจังหวัด/อำเภอสามารถกำหนดอย่างไรหรือไม่ก็ได้
             - การจัดแบบอบรมประชาชน ถ้า มีการอบรมทั้งช่วงเช้าและช่วงบ่าย ก็สามารถเบิกจ่ายค่าอาหารกลางวันได้
             - ที่ว่า วิชาชีพกำหนดให้ไม่เกินวันละ 5 ชั่วโมงนั้น เป็นระเบียบหลักเกณฑ์เก่า ระเบียบหลักเกณฑ์ปัจจุบันไม่ได้กำหนดแล้ว ดูจากระเบียบหลักเกณฑ์ในคู่มือปัจจุบันนั้นแหละ ถ้าระเบียบหลักเกณฑ์ในคู่มือปัจจุบันไม่ได้กำหนดจำนวนชั่วโมงในแต่ละวันไว้ ก็แปลว่าไม่กำหนดจำกัดแล้ว ให้อยู่ในดุลยพินิจของผู้บริหารอำเภอ/จังหวัด
             อย่าไปดูระเบียบหลักเกณฑ์ฉบับที่ถูกยกเลิกโดยระเบียบหลักเกณฑ์ฉบับล่าสุดแล้ว
             ถ้าผู้บริหารเห็นว่าเนื้อหาวิชาและวัยผู้เรียนนั้น เรียน 6 ชั่วโมงไม่มาก ก็ 6 ชั่วโมงได้ ไม่มีระเบียบห้ามแล้ว ถ้าผู้บริหารเห็นว่า เนื้อหาวิชานั้นหนักมาก ผู้เรียนเป็นผู้สูงอายุ ไม่ควรเรียนเกินวันละ 3 ชั่วโมง ก็กำหนดให้เรียนวันละ 3 ชั่วโมงก็ได้

         5. การรับ นศ.ที่ไม่มีทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย ให้สถานศึกษาประสานงานกับผู้ปกครองเพื่อรวบรวมหลักฐานประสานกับสำนักทะเบียนอำเภอ/ท้องถิ่น เพื่อจัดทำทะเบียนราษฎรและบัตรประจำตัว
             ดังรายละเอียดในประกาศที่
            
https://www.dropbox.com/s/uosubcc87jhe1qw/thainationST.pdf?dl=1
 





         6. ตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการพานักเรียนและนักศึกษาไปนอกสถานศึกษา พ.ศ.2548 ข้อ 7 กำหนดว่า ให้ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาหรือผู้ได้รับมอบหมาย หรือผู้มีอำนาจเหนือสถานศึกษาขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง แล้วแต่กรณี เป็นผู้พิจารณาและอนุญาตตามข้อ 5 (2) ( การพาไปนอกสถานศึกษาค้างคืน)
             แต่ ตามคำสั่งมอบอำนาจของปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ที่ 489/2551 มอบอำนาจ ข้อ 16 ให้ ผอ.กศน.อำเภอ/เขต มีอำนาจ
การอนุญาตการพานักศึกษาไปนอกสถานศึกษา ประเภทค้างคืน ตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการพานักเรียนนักศึกษาไปนอกสถานศึกษา พ.ศ.2548

             วันที่ 2 ก.พ.61 ผมจึงเรียนถามกลุ่มงานวินัยและนิติการ กจ.กศน. ว่า  การพานักศึกษาไปนอกสถานศึกษา ค้างคืน ผอ.กศน.อำเภอ หรือ ผอ.กศน.จังหวัด เป็นผู้อนุญาต  ได้รับคำตอบจาก กจ.โดย อ.นคร ว่า ให้ยึดตามคำสั่งมอบอำนาจ คือ ผอ.กศน.อำเภอ/เขต เป็นผู้อนุญาต

         7. วันอาทิตย์ที่ 4 ก.พ.61 มีผู้ถามผมในอินบ็อกซ์เฟซบุ๊ก ว่า  ฉันเป็นครูกศน.ตำบลทำเรื่องย้ายข้ามจังหวัดดยได้สับเปลี่ยนพื้นที่และสับเปลี่ยนเลขที่ตำแหน่งกันซึ่งตามที่จริงแล้วเมื่อฉันย้ายไปแบบนี้ฉันก็ต้องไปลงพื้นที่ตามคำสั่งของกรมถูกต้องใช่ไม่ แต่ปรากฏว่าพอฉันไปทำงานที่อำเภอใหม่ผอ.อำเภอนั้นได้ทำหนังสือให้ครูคนอื่นมาอยู่พื้นที่ฉันแล้วจะให้ฉันไปยังศูนย์การเรียนชุมชนที่ตำบลอื่น ทำแบบนี้ได้ด้วยเหรอ ฉันจะต้องทำยังไงถ้าเกิดกรณีแบบนี้ ฉันยืยยันที่จะขอลงพื้นที่ตามคำสั่งที่ฉันย้ายมา แล้วตามระเบียนสามารถมาเปลี่ยนพื้นที่แบบนี้ได้ด้วยเหรอ ฉันมายังไม่ทันจะได้ปฏิบัติหน้าที่เลย ก็มีเหตุแบบนี้แล้ว ยังไงฉันรบกวนอาจารย์ให้คำแนะนำชี้แนวทางให้ฉันด้วยนะ

             ผมตอบว่า   ผมโพสต์ประเด็นนี้ไม่ต่ำกว่า 3 ครั้งแล้วว่า ครู กศน.ตำบล ต่างจาก ครูอาสาฯ โดยเลขที่ตำแหน่งครูอาสาฯระบุเพียงชื่ออำเภอ  ผอ.กศน.อำเภอสามารถย้ายเปลี่ยนพื้นที่ครูอาสาฯภายในอำเภอได้  แต่เลขที่ตำแหน่งครู กศน.ตำบล ระบุชื่อตำบล  ฉะนั้น ผอ.กศน.อำเภอจึงไม่มีอำนาจเปลี่ยนพื้นที่ตำบลของครู กศน.ตำบล แม้จะอยู่ในอำเภอเดียวกัน  ถ้าเปลี่ยนเป็นการภายใน โดยเจ้าตัวยอม ก็คงจะไม่เป็นไร  ( ถ้าพนักงานราชการทำความผิด ก็ต้องดำเนินการตามขั้นตอนของ "วินัย" )
             จังหวัดหรือสถานศึกษาขึ้นตรงสั่งให้พนักงานราชการไปปฏิบัติงานนอกพื้นที่ได้ แต่ต้องกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดที่ชัดเจน รวมไม่เกินปี งปม.ละ 4 เดือน
             ส่วนกรณีการเปลี่ยนพื้นที่โดยเปลี่ยนเลขที่ตำแหน่งของพนักงานราชการแต่ละคน ตาม
คำขอ ของพนักงานราชการต้องมีตำแหน่งว่างหรือสับเปลี่ยนบุคคลกัน ( เลขที่ตำแหน่งเดิมต้องอยู่ที่ตำบล/อำเภอเดิมถ้าเป็นการเกลี่ยอัตราย้ายเลขที่ตำแหน่งต้องดำเนินการโดยส่วนกลาง ) นั้น ให้ดำเนินการตามข้อ 4.1-4.6 ใน แนวปฏิบัติของระบบพนักงานราชการ สังกัดสำนักงาน กศน.ฉบับล่าสุด ธ.ค.60  ดูที่ 

https://www.dropbox.com/s/jx7mfhgzu03eg4m/PRGunderstan.pdf?dl=1  โดยต้องรายงานให้สำนักงาน กศน.ทราบภายใน 30 วัน

             คำแนะนำของผมในกรณีที่ คุณไม่ได้ขอเปลี่ยนพื้นที่ นี้คือ
             - คุยกับ ผอ.อีกครั้ง
             - ถ้ายังไม่ได้รับความเป็นธรรม ให้ทำหนังสือแจ้ง ผอ.สนง.กศน.จังหวัด ส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียน หรือ ให้ จนท.ลงชื่อรับในสำเนาหนังสือ  ( หน่วยงานที่ได้รับแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างเป็นทางการ จะดำเนินการให้ถูกต้องตามระเบียบหลักเกณฑ์ปัจจุบัน ซึ่งต่างกับการคุยกันด้วยวาจาที่อาจอ้างระเบียบหลักเกณฑ์ผิด )  อาจขอคุยด้วยวาจากับท่าน ผอ.กศน.จังหวัดก่อน
             - ถ้าผ่านไป 1 เดือน ยังไม่ได้รับความเป็นธรรม ให้แจ้งตรงไปยังเลขาธิการ กศน. อย่างเป็นทางการเช่นเดียวกัน  ส่วนกลางก็จะแจ้งจังหวัดให้แก้ไขให้ถูกต้องตามระเบียบหลักเกณฑ์ปัจจุบัน โดยที่เราไม่ต้องแจ้ง รมต.
             แต่.. การทำอย่างนี้อาจทำให้เราทำงานกับ ผอ.คนนี้ต่อไปอย่างไม่ราบรื่น ไม่มีความสุข ( ผอ.จะอยู่ที่เดิมประมาณ 4 ปี )  คุณต้องคิด และตัดสินใจเอง