สัปดาห์นี้มีเรื่องที่คิดว่าน่าสนใจ
ขอเลือกมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ 7 เรื่อง ดังนี้
1. เย็นวันที่ 25 ม.ค.61 มีผู้ถามผมในอินบ็อกซ์เฟซบุ๊ก ว่า อยากตะขอสอบถามว่า พนักงานราชการที่ขอลาออก จะมีสิทธิ์ได้บำเหน็จตามระเบียบไหม
ผมถามกลับ ว่า พูดถึงเรื่องประกันสังคม หรือเรื่องอะไร จะรับบำเหน็จจากไหน
ผู้ถาม บอกว่า จากกรม
1. เย็นวันที่ 25 ม.ค.61 มีผู้ถามผมในอินบ็อกซ์เฟซบุ๊ก ว่า อยากตะขอสอบถามว่า พนักงานราชการที่ขอลาออก จะมีสิทธิ์ได้บำเหน็จตามระเบียบไหม
ผมถามกลับ ว่า พูดถึงเรื่องประกันสังคม หรือเรื่องอะไร จะรับบำเหน็จจากไหน
ผู้ถาม บอกว่า จากกรม
ผมตอบว่า พนักงานราชการทุกกระทรวง ตอนออก
ไม่มีบำเหน็จบำนาญ จากกรม เพราะ ได้รับอยู่ทุกเดือนแล้ว ผมโพสต์ 4-5 ครั้งแล้ว เช่น ใน
- ข้อ 7 ที่ https://www.gotoknow.org/posts/508111
- ข้อ 1 ที่ http://nfeph.blogspot.com/2017/08/prggasean.html
- เรื่องแรก ที่ https://www.gotoknow.org/posts/550346
- ในความเห็นด้านท้าย ที่ https://www.gotoknow.org/posts/479534
- ข้อ 7 ที่ https://www.gotoknow.org/posts/531213
- ข้อ 7 ที่ https://www.gotoknow.org/posts/480329
ว่า
พนักงานราชการบรรจุใหม่ จะได้รับเงินเดือนมากกว่าข้าราชการพลเรือนบรรจุใหม่ที่วุฒิเดียวกัน อยู่ 20 % เช่นปัจจุบันพนักงานราชการบรรจุใหม่ได้ 18,000 บาท แต่ข้าราชการได้ 15,000 บาท
( มากกว่า 20 % มาตลอดตั้งแต่ประเทศไทยมี พรก. ตอน ขรก.ได้ 7,940 บาท พรก.บรรจุใหม่ได้ 9,530 บาท ไม่รวมค่าครองชีพ, เมื่อปรับเงินเดือนให้ ขรก.ได้ 9,140 บาท พรก.ได้ 10,970, 1 ม.ค.55 ขรก.บรรจุใหม่ได้ 11,680 พรก.ได้ 14,020 )
ส่วนที่พนักงานราชการได้เกินข้าราชการในแต่ละเดือน 20 % นี้ แบ่งเป็น
- ค่าประกันสังคมส่วนที่หักจากลูกจ้าง 5 %
- ค่าสวัสดิการต่าง ๆ เช่น ค่าการศึกษาบุตร ค่ารักษาพยาบาล ค่าตรวจสุขภาพ 5 %
- บำเหน็จบำนาญ 10 %
- ข้อ 7 ที่ https://www.gotoknow.org/posts/508111
- ข้อ 1 ที่ http://nfeph.blogspot.com/2017/08/prggasean.html
- เรื่องแรก ที่ https://www.gotoknow.org/posts/550346
- ในความเห็นด้านท้าย ที่ https://www.gotoknow.org/posts/479534
- ข้อ 7 ที่ https://www.gotoknow.org/posts/531213
- ข้อ 7 ที่ https://www.gotoknow.org/posts/480329
ว่า
พนักงานราชการบรรจุใหม่ จะได้รับเงินเดือนมากกว่าข้าราชการพลเรือนบรรจุใหม่ที่วุฒิเดียวกัน อยู่ 20 % เช่นปัจจุบันพนักงานราชการบรรจุใหม่ได้ 18,000 บาท แต่ข้าราชการได้ 15,000 บาท
( มากกว่า 20 % มาตลอดตั้งแต่ประเทศไทยมี พรก. ตอน ขรก.ได้ 7,940 บาท พรก.บรรจุใหม่ได้ 9,530 บาท ไม่รวมค่าครองชีพ, เมื่อปรับเงินเดือนให้ ขรก.ได้ 9,140 บาท พรก.ได้ 10,970, 1 ม.ค.55 ขรก.บรรจุใหม่ได้ 11,680 พรก.ได้ 14,020 )
ส่วนที่พนักงานราชการได้เกินข้าราชการในแต่ละเดือน 20 % นี้ แบ่งเป็น
- ค่าประกันสังคมส่วนที่หักจากลูกจ้าง 5 %
- ค่าสวัสดิการต่าง ๆ เช่น ค่าการศึกษาบุตร ค่ารักษาพยาบาล ค่าตรวจสุขภาพ 5 %
- บำเหน็จบำนาญ 10 %
ผู้ถาม ๆ ต่อ ว่า ค่าการศึกษาบุตรได้ด้วยหรือ ไม่ทราบมาก่ินเลย สงสัยคงต้องอ่านระเบียบให้แม่นแล้วล่ะ
ส่วนเงินบำเหน็จบำนาญ10%คิดอย่างไร และเมื่อไร ถ้าขอลาออกจะได้ในส่วนนี้หรือไม่
ผมตอบว่า โอย.. ก็เงินเหล่านี้คุณได้ไปแล้ว ได้ไปทุกเดือนแล้วไง เงินเดือนที่คุณได้มากกว่าข้าราชการอยู่ทุก ๆ เดือนนั่นแหละ
ส่วนข้าราชการเขายังไม่ได้เงินเหล่านี้ เขาต้องทำเรื่องเบิกเอาเป็นครั้ง ๆ โดยบำเหน็จบำนาญก็ต้องคอยไปได้ตอนเกษียณ
แต่พนักงานราชการได้โดยอัตโนมัติทุกเดือน
เช่นบรรจุใหม่ได้เดือนละ 3,000 บาท ( เงินเดือนข้าราชการ 15,000 เงินเดือนพนักงานราชการ 18,000 ซึ่งมากกว่า 3,000 ) รวมเป็นปีละ 36,000 บาท ถ้าทำงาน 30 ปีเกษียณก็เท่ากับรวมได้ประมาณ 1 ล้าน 8 หมื่นบาท เฉลี่ยเป็นบำเหน็จบำนาญประมาณ 540,000 บาท เป็นค่าสวัสดิการต่าง ๆ 270,000 บาท เป็นค่าลูกจ้างสมทบประกันสังคม 270,000 บาท )
จึงรับเพิ่มไม่ได้อีก
นอกจากไปรับทาง ประกันสังคม
2. คืนวันศุกร์ที่ 26 ม.ค.61 มีผู้ถามผมในอินบ็อกซ์เฟซบุ๊ก ว่า ข้อมูล it งานพื้นฐาน สามารถนำข้อมูลจากตัวแม่มาลงในเครื่องตัวลูก เพื่อความสะดวกในการเช็คข้อมูลให้ครูๆ ได้มั้ย เพื่อความสะดวกในการทำงานสามารถเช็ครายการลงทะเบียน/นักศึกษาที่คาดว่าจะจบ/กพช. และตารางสอบได้สารพัด มีความผิดมั้ยถ้านำมาลงให้ครูในเครื่องลูกในสำนักงานหรือโน้ตบุ๊คครูๆเขา
ผมตอบว่า โอย.. ก็เงินเหล่านี้คุณได้ไปแล้ว ได้ไปทุกเดือนแล้วไง เงินเดือนที่คุณได้มากกว่าข้าราชการอยู่ทุก ๆ เดือนนั่นแหละ
ส่วนข้าราชการเขายังไม่ได้เงินเหล่านี้ เขาต้องทำเรื่องเบิกเอาเป็นครั้ง ๆ โดยบำเหน็จบำนาญก็ต้องคอยไปได้ตอนเกษียณ
แต่พนักงานราชการได้โดยอัตโนมัติทุกเดือน
เช่นบรรจุใหม่ได้เดือนละ 3,000 บาท ( เงินเดือนข้าราชการ 15,000 เงินเดือนพนักงานราชการ 18,000 ซึ่งมากกว่า 3,000 ) รวมเป็นปีละ 36,000 บาท ถ้าทำงาน 30 ปีเกษียณก็เท่ากับรวมได้ประมาณ 1 ล้าน 8 หมื่นบาท เฉลี่ยเป็นบำเหน็จบำนาญประมาณ 540,000 บาท เป็นค่าสวัสดิการต่าง ๆ 270,000 บาท เป็นค่าลูกจ้างสมทบประกันสังคม 270,000 บาท )
จึงรับเพิ่มไม่ได้อีก
นอกจากไปรับทาง ประกันสังคม
2. คืนวันศุกร์ที่ 26 ม.ค.61 มีผู้ถามผมในอินบ็อกซ์เฟซบุ๊ก ว่า ข้อมูล it งานพื้นฐาน สามารถนำข้อมูลจากตัวแม่มาลงในเครื่องตัวลูก เพื่อความสะดวกในการเช็คข้อมูลให้ครูๆ ได้มั้ย เพื่อความสะดวกในการทำงานสามารถเช็ครายการลงทะเบียน/นักศึกษาที่คาดว่าจะจบ/กพช. และตารางสอบได้สารพัด มีความผิดมั้ยถ้านำมาลงให้ครูในเครื่องลูกในสำนักงานหรือโน้ตบุ๊คครูๆเขา
ผมตอบว่า ผมโพสต์วิธีการทำ 4-5 ครั้งแล้ว
ซึ่งเราต้องไม่ให้คนอื่นรู้รหัสผ่านที่สามารถแก้ข้อมูลสำคัญได้
รหัสผ่านที่จะให้คนอื่นใช้ในการเข้าโปรแกรมได้ต้องเป็นรหัสผ่านที่ดูข้อมูลต่าง ๆ
ได้ แต่แก้ไขข้อมูลสำคัญบางอย่างไม่ได้
อ่านในข้อ 8 (12) ที่ http://nfeph.blogspot.com/2013/10/itw.html
อ่านในข้อ 8 (12) ที่ http://nfeph.blogspot.com/2013/10/itw.html
ผู้ถาม ถามต่อว่า ตัวแม่ ครูๆไม่ยุ่ง เพราะจะมีการแก้ไขข้อมูล
แต่จะอัพข้อมูลให้เครื่องอีกเครื่องหนึ่ง เพื่อไว้เช็คข้อมูลเฉยๆ ได้มั้ย
ผมตอบว่า ถึงจะเป็นเครื่องลูก ถ้าเขาเข้าโดยรหัสผ่านที่ใช้ทำอะไรได้ทุกอย่าง เขาก็อาจนำเครื่องปริ้นท์มาต่อตอนคนอื่นไม่อยู่ แล้วแก้ข้อมูลออกใบ รบ.ปลอมได้ง่าย
( เพื่อความไม่ประมาทเลินเล่อ ควรกำหนดว่า เครื่องลูกเข้าโปรแกรมได้ด้วยรหัสผ่านอะไร และแจ้งรหัสผ่านนั้นให้ทุกคนรู้ โดยกำหนดในโปรแกรม ว่ารหัสผ่านนั้นซึ่งไม่ใช่รหัสเดียวกับเครื่องแม่ ไม่สามารถเข้าแก้ไขข้อมูลบางเมนูได้ )
รหัสผ่านเครื่องแม่ ต้องไม่ให้ผู้ที่ไม่มีหน้าที่รับผิดชอบ รู้
3. วันเสาร์ที่ 27 ม.ค.61 มีผู้ถามผมในอินบ็อกซ์เฟซบุ๊ก ว่า เกิด 23 มี.ค 2507 บรรจุเป็นข้าราชการครู มีนาคม 2544 มีสิทธิ์รับบำนาญใหม
ผมตอบว่า ถึงจะเป็นเครื่องลูก ถ้าเขาเข้าโดยรหัสผ่านที่ใช้ทำอะไรได้ทุกอย่าง เขาก็อาจนำเครื่องปริ้นท์มาต่อตอนคนอื่นไม่อยู่ แล้วแก้ข้อมูลออกใบ รบ.ปลอมได้ง่าย
( เพื่อความไม่ประมาทเลินเล่อ ควรกำหนดว่า เครื่องลูกเข้าโปรแกรมได้ด้วยรหัสผ่านอะไร และแจ้งรหัสผ่านนั้นให้ทุกคนรู้ โดยกำหนดในโปรแกรม ว่ารหัสผ่านนั้นซึ่งไม่ใช่รหัสเดียวกับเครื่องแม่ ไม่สามารถเข้าแก้ไขข้อมูลบางเมนูได้ )
รหัสผ่านเครื่องแม่ ต้องไม่ให้ผู้ที่ไม่มีหน้าที่รับผิดชอบ รู้
3. วันเสาร์ที่ 27 ม.ค.61 มีผู้ถามผมในอินบ็อกซ์เฟซบุ๊ก ว่า เกิด 23 มี.ค 2507 บรรจุเป็นข้าราชการครู มีนาคม 2544 มีสิทธิ์รับบำนาญใหม
ผมตอบว่า ถ้าออกตอนอายุราชการ 10 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป
และอายุตัว 50 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปด้วย เลือกรับบำนาญได้ ( ดูข้อ 4.2 ในตารางที่ https://www.gpf.or.th/thai2013/about/pension-thai-compare.asp )
4. วันที่ 29 ม.ค.61 มีผู้ถามผมทางไลน์ ว่า มีคนขอดูระเบียบการศึกษาต่อเนื่อง การอบรมประชาชน ว่าอบรมได้วันละกี่ ช.ม. ดูแล้วไม่เห็นกำหนด แต่ถ้าเรียนวิชาชีพกำหนดให้ไม่เกินวันละ 5 ช.ม. ถ้าจะเบิกอาหารกลางวันต้องอบรมวันละกี่ ช.ม. จึงจะเบิกค่าอาหารได้ ดูในระเบียบอบรมไม่พูดถึง ดูจากไหน
4. วันที่ 29 ม.ค.61 มีผู้ถามผมทางไลน์ ว่า มีคนขอดูระเบียบการศึกษาต่อเนื่อง การอบรมประชาชน ว่าอบรมได้วันละกี่ ช.ม. ดูแล้วไม่เห็นกำหนด แต่ถ้าเรียนวิชาชีพกำหนดให้ไม่เกินวันละ 5 ช.ม. ถ้าจะเบิกอาหารกลางวันต้องอบรมวันละกี่ ช.ม. จึงจะเบิกค่าอาหารได้ ดูในระเบียบอบรมไม่พูดถึง ดูจากไหน
ผมตอบว่า
- ระเบียบหลักเกณฑ์การศึกษาต่อเนื่องปัจจุบัน ส่วนกลางกำหนดจำนวนชั่วโมงเฉพาะแบบกลุ่มสนใจ วันละไม่เกิน 3 ชั่วโมง ส่วนแบบชั้นเรียนและแบบอบรมประชาชน ส่วนกลางไม่ได้กำหนดจำนวนชั่วโมงต่อวันแล้ว จึงอยู่ในดุลยพินิจของผู้บริหารระดับจังหวัด/อำเภอสามารถกำหนดอย่างไรหรือไม่ก็ได้
- การจัดแบบอบรมประชาชน ถ้า มีการอบรมทั้งช่วงเช้าและช่วงบ่าย ก็สามารถเบิกจ่ายค่าอาหารกลางวันได้
- ที่ว่า วิชาชีพกำหนดให้ไม่เกินวันละ 5 ชั่วโมงนั้น เป็นระเบียบหลักเกณฑ์เก่า ระเบียบหลักเกณฑ์ปัจจุบันไม่ได้กำหนดแล้ว ดูจากระเบียบหลักเกณฑ์ในคู่มือปัจจุบันนั้นแหละ ถ้าระเบียบหลักเกณฑ์ในคู่มือปัจจุบันไม่ได้กำหนดจำนวนชั่วโมงในแต่ละวันไว้ ก็แปลว่าไม่กำหนดจำกัดแล้ว ให้อยู่ในดุลยพินิจของผู้บริหารอำเภอ/จังหวัด
อย่าไปดูระเบียบหลักเกณฑ์ฉบับที่ถูกยกเลิกโดยระเบียบหลักเกณฑ์ฉบับล่าสุดแล้ว
ถ้าผู้บริหารเห็นว่าเนื้อหาวิชาและวัยผู้เรียนนั้น เรียน 6 ชั่วโมงไม่มาก ก็ 6 ชั่วโมงได้ ไม่มีระเบียบห้ามแล้ว ถ้าผู้บริหารเห็นว่า เนื้อหาวิชานั้นหนักมาก ผู้เรียนเป็นผู้สูงอายุ ไม่ควรเรียนเกินวันละ 3 ชั่วโมง ก็กำหนดให้เรียนวันละ 3 ชั่วโมงก็ได้
5. การรับ นศ.ที่ไม่มีทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย ให้สถานศึกษาประสานงานกับผู้ปกครองเพื่อรวบรวมหลักฐานประสานกับสำนักทะเบียนอำเภอ/ท้องถิ่น เพื่อจัดทำทะเบียนราษฎรและบัตรประจำตัว
ดังรายละเอียดในประกาศที่
https://www.dropbox.com/s/uosubcc87jhe1qw/thainationST.pdf?dl=1
- ระเบียบหลักเกณฑ์การศึกษาต่อเนื่องปัจจุบัน ส่วนกลางกำหนดจำนวนชั่วโมงเฉพาะแบบกลุ่มสนใจ วันละไม่เกิน 3 ชั่วโมง ส่วนแบบชั้นเรียนและแบบอบรมประชาชน ส่วนกลางไม่ได้กำหนดจำนวนชั่วโมงต่อวันแล้ว จึงอยู่ในดุลยพินิจของผู้บริหารระดับจังหวัด/อำเภอสามารถกำหนดอย่างไรหรือไม่ก็ได้
- การจัดแบบอบรมประชาชน ถ้า มีการอบรมทั้งช่วงเช้าและช่วงบ่าย ก็สามารถเบิกจ่ายค่าอาหารกลางวันได้
- ที่ว่า วิชาชีพกำหนดให้ไม่เกินวันละ 5 ชั่วโมงนั้น เป็นระเบียบหลักเกณฑ์เก่า ระเบียบหลักเกณฑ์ปัจจุบันไม่ได้กำหนดแล้ว ดูจากระเบียบหลักเกณฑ์ในคู่มือปัจจุบันนั้นแหละ ถ้าระเบียบหลักเกณฑ์ในคู่มือปัจจุบันไม่ได้กำหนดจำนวนชั่วโมงในแต่ละวันไว้ ก็แปลว่าไม่กำหนดจำกัดแล้ว ให้อยู่ในดุลยพินิจของผู้บริหารอำเภอ/จังหวัด
อย่าไปดูระเบียบหลักเกณฑ์ฉบับที่ถูกยกเลิกโดยระเบียบหลักเกณฑ์ฉบับล่าสุดแล้ว
ถ้าผู้บริหารเห็นว่าเนื้อหาวิชาและวัยผู้เรียนนั้น เรียน 6 ชั่วโมงไม่มาก ก็ 6 ชั่วโมงได้ ไม่มีระเบียบห้ามแล้ว ถ้าผู้บริหารเห็นว่า เนื้อหาวิชานั้นหนักมาก ผู้เรียนเป็นผู้สูงอายุ ไม่ควรเรียนเกินวันละ 3 ชั่วโมง ก็กำหนดให้เรียนวันละ 3 ชั่วโมงก็ได้
5. การรับ นศ.ที่ไม่มีทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย ให้สถานศึกษาประสานงานกับผู้ปกครองเพื่อรวบรวมหลักฐานประสานกับสำนักทะเบียนอำเภอ/ท้องถิ่น เพื่อจัดทำทะเบียนราษฎรและบัตรประจำตัว
ดังรายละเอียดในประกาศที่
https://www.dropbox.com/s/uosubcc87jhe1qw/thainationST.pdf?dl=1
6. ตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการพานักเรียนและนักศึกษาไปนอกสถานศึกษา
พ.ศ.2548 ข้อ 7 กำหนดว่า “ให้ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาหรือผู้ได้รับมอบหมาย
หรือผู้มีอำนาจเหนือสถานศึกษาขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง แล้วแต่กรณี
เป็นผู้พิจารณาและอนุญาตตามข้อ 5 (2) ( การพาไปนอกสถานศึกษาค้างคืน)”
แต่ ตามคำสั่งมอบอำนาจของปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ที่ 489/2551 มอบอำนาจ ข้อ 16 ให้ ผอ.กศน.อำเภอ/เขต มีอำนาจ “การอนุญาตการพานักศึกษาไปนอกสถานศึกษา ประเภทค้างคืน ตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการพานักเรียนนักศึกษาไปนอกสถานศึกษา พ.ศ.2548”
แต่ ตามคำสั่งมอบอำนาจของปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ที่ 489/2551 มอบอำนาจ ข้อ 16 ให้ ผอ.กศน.อำเภอ/เขต มีอำนาจ “การอนุญาตการพานักศึกษาไปนอกสถานศึกษา ประเภทค้างคืน ตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการพานักเรียนนักศึกษาไปนอกสถานศึกษา พ.ศ.2548”
วันที่ 2 ก.พ.61
ผมจึงเรียนถามกลุ่มงานวินัยและนิติการ กจ.กศน. ว่า การพานักศึกษาไปนอกสถานศึกษา ค้างคืน
ผอ.กศน.อำเภอ หรือ ผอ.กศน.จังหวัด เป็นผู้อนุญาต ได้รับคำตอบจาก กจ.โดย อ.นคร ว่า
ให้ยึดตามคำสั่งมอบอำนาจ คือ ผอ.กศน.อำเภอ/เขต เป็นผู้อนุญาต
7. วันอาทิตย์ที่ 4 ก.พ.61 มีผู้ถามผมในอินบ็อกซ์เฟซบุ๊ก ว่า ฉันเป็นครูกศน.ตำบลทำเรื่องย้ายข้ามจังหวัดดยได้สับเปลี่ยนพื้นที่และสับเปลี่ยนเลขที่ตำแหน่งกันซึ่งตามที่จริงแล้วเมื่อฉันย้ายไปแบบนี้ฉันก็ต้องไปลงพื้นที่ตามคำสั่งของกรมถูกต้องใช่ไม่ แต่ปรากฏว่าพอฉันไปทำงานที่อำเภอใหม่ผอ.อำเภอนั้นได้ทำหนังสือให้ครูคนอื่นมาอยู่พื้นที่ฉันแล้วจะให้ฉันไปยังศูนย์การเรียนชุมชนที่ตำบลอื่น ทำแบบนี้ได้ด้วยเหรอ ฉันจะต้องทำยังไงถ้าเกิดกรณีแบบนี้ ฉันยืยยันที่จะขอลงพื้นที่ตามคำสั่งที่ฉันย้ายมา แล้วตามระเบียนสามารถมาเปลี่ยนพื้นที่แบบนี้ได้ด้วยเหรอ ฉันมายังไม่ทันจะได้ปฏิบัติหน้าที่เลย ก็มีเหตุแบบนี้แล้ว ยังไงฉันรบกวนอาจารย์ให้คำแนะนำชี้แนวทางให้ฉันด้วยนะ
7. วันอาทิตย์ที่ 4 ก.พ.61 มีผู้ถามผมในอินบ็อกซ์เฟซบุ๊ก ว่า ฉันเป็นครูกศน.ตำบลทำเรื่องย้ายข้ามจังหวัดดยได้สับเปลี่ยนพื้นที่และสับเปลี่ยนเลขที่ตำแหน่งกันซึ่งตามที่จริงแล้วเมื่อฉันย้ายไปแบบนี้ฉันก็ต้องไปลงพื้นที่ตามคำสั่งของกรมถูกต้องใช่ไม่ แต่ปรากฏว่าพอฉันไปทำงานที่อำเภอใหม่ผอ.อำเภอนั้นได้ทำหนังสือให้ครูคนอื่นมาอยู่พื้นที่ฉันแล้วจะให้ฉันไปยังศูนย์การเรียนชุมชนที่ตำบลอื่น ทำแบบนี้ได้ด้วยเหรอ ฉันจะต้องทำยังไงถ้าเกิดกรณีแบบนี้ ฉันยืยยันที่จะขอลงพื้นที่ตามคำสั่งที่ฉันย้ายมา แล้วตามระเบียนสามารถมาเปลี่ยนพื้นที่แบบนี้ได้ด้วยเหรอ ฉันมายังไม่ทันจะได้ปฏิบัติหน้าที่เลย ก็มีเหตุแบบนี้แล้ว ยังไงฉันรบกวนอาจารย์ให้คำแนะนำชี้แนวทางให้ฉันด้วยนะ
ผมตอบว่า ผมโพสต์ประเด็นนี้ไม่ต่ำกว่า 3 ครั้งแล้วว่า
ครู กศน.ตำบล ต่างจาก ครูอาสาฯ โดยเลขที่ตำแหน่งครูอาสาฯระบุเพียงชื่ออำเภอ ผอ.กศน.อำเภอสามารถย้ายเปลี่ยนพื้นที่ครูอาสาฯภายในอำเภอได้
แต่เลขที่ตำแหน่งครู กศน.ตำบล
ระบุชื่อตำบล ฉะนั้น ผอ.กศน.อำเภอจึงไม่มีอำนาจเปลี่ยนพื้นที่ตำบลของครู
กศน.ตำบล แม้จะอยู่ในอำเภอเดียวกัน ถ้าเปลี่ยนเป็นการภายใน
โดยเจ้าตัวยอม ก็คงจะไม่เป็นไร (
ถ้าพนักงานราชการทำความผิด ก็ต้องดำเนินการตามขั้นตอนของ "วินัย" )
จังหวัดหรือสถานศึกษาขึ้นตรงสั่งให้พนักงานราชการไปปฏิบัติงานนอกพื้นที่ได้ แต่ต้องกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดที่ชัดเจน รวมไม่เกินปี งปม.ละ 4 เดือน
ส่วนกรณีการเปลี่ยนพื้นที่โดยเปลี่ยนเลขที่ตำแหน่งของพนักงานราชการแต่ละคน ตาม “คำขอ ของพนักงานราชการ” ต้องมีตำแหน่งว่างหรือสับเปลี่ยนบุคคลกัน ( “เลขที่ตำแหน่งเดิมต้องอยู่ที่ตำบล/อำเภอเดิม” ถ้าเป็นการเกลี่ยอัตราย้ายเลขที่ตำแหน่งต้องดำเนินการโดยส่วนกลาง ) นั้น ให้ดำเนินการตามข้อ 4.1-4.6 ใน “แนวปฏิบัติของระบบพนักงานราชการ สังกัดสำนักงาน กศน.” ฉบับล่าสุด ธ.ค.60 ดูที่
จังหวัดหรือสถานศึกษาขึ้นตรงสั่งให้พนักงานราชการไปปฏิบัติงานนอกพื้นที่ได้ แต่ต้องกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดที่ชัดเจน รวมไม่เกินปี งปม.ละ 4 เดือน
ส่วนกรณีการเปลี่ยนพื้นที่โดยเปลี่ยนเลขที่ตำแหน่งของพนักงานราชการแต่ละคน ตาม “คำขอ ของพนักงานราชการ” ต้องมีตำแหน่งว่างหรือสับเปลี่ยนบุคคลกัน ( “เลขที่ตำแหน่งเดิมต้องอยู่ที่ตำบล/อำเภอเดิม” ถ้าเป็นการเกลี่ยอัตราย้ายเลขที่ตำแหน่งต้องดำเนินการโดยส่วนกลาง ) นั้น ให้ดำเนินการตามข้อ 4.1-4.6 ใน “แนวปฏิบัติของระบบพนักงานราชการ สังกัดสำนักงาน กศน.” ฉบับล่าสุด ธ.ค.60 ดูที่
https://www.dropbox.com/s/jx7mfhgzu03eg4m/PRGunderstan.pdf?dl=1 โดยต้องรายงานให้สำนักงาน กศน.ทราบภายใน 30 วัน
คำแนะนำของผมในกรณีที่
คุณไม่ได้ขอเปลี่ยนพื้นที่ นี้คือ
- คุยกับ ผอ.อีกครั้ง
- ถ้ายังไม่ได้รับความเป็นธรรม ให้ทำหนังสือแจ้ง ผอ.สนง.กศน.จังหวัด ส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียน หรือ ให้ จนท.ลงชื่อรับในสำเนาหนังสือ ( หน่วยงานที่ได้รับแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างเป็นทางการ จะดำเนินการให้ถูกต้องตามระเบียบหลักเกณฑ์ปัจจุบัน ซึ่งต่างกับการคุยกันด้วยวาจาที่อาจอ้างระเบียบหลักเกณฑ์ผิด ) อาจขอคุยด้วยวาจากับท่าน ผอ.กศน.จังหวัดก่อน
- ถ้าผ่านไป 1 เดือน ยังไม่ได้รับความเป็นธรรม ให้แจ้งตรงไปยังเลขาธิการ กศน. อย่างเป็นทางการเช่นเดียวกัน ส่วนกลางก็จะแจ้งจังหวัดให้แก้ไขให้ถูกต้องตามระเบียบหลักเกณฑ์ปัจจุบัน โดยที่เราไม่ต้องแจ้ง รมต.
แต่.. การทำอย่างนี้อาจทำให้เราทำงานกับ ผอ.คนนี้ต่อไปอย่างไม่ราบรื่น ไม่มีความสุข ( ผอ.จะอยู่ที่เดิมประมาณ 4 ปี ) คุณต้องคิด และตัดสินใจเอง
- คุยกับ ผอ.อีกครั้ง
- ถ้ายังไม่ได้รับความเป็นธรรม ให้ทำหนังสือแจ้ง ผอ.สนง.กศน.จังหวัด ส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียน หรือ ให้ จนท.ลงชื่อรับในสำเนาหนังสือ ( หน่วยงานที่ได้รับแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างเป็นทางการ จะดำเนินการให้ถูกต้องตามระเบียบหลักเกณฑ์ปัจจุบัน ซึ่งต่างกับการคุยกันด้วยวาจาที่อาจอ้างระเบียบหลักเกณฑ์ผิด ) อาจขอคุยด้วยวาจากับท่าน ผอ.กศน.จังหวัดก่อน
- ถ้าผ่านไป 1 เดือน ยังไม่ได้รับความเป็นธรรม ให้แจ้งตรงไปยังเลขาธิการ กศน. อย่างเป็นทางการเช่นเดียวกัน ส่วนกลางก็จะแจ้งจังหวัดให้แก้ไขให้ถูกต้องตามระเบียบหลักเกณฑ์ปัจจุบัน โดยที่เราไม่ต้องแจ้ง รมต.
แต่.. การทำอย่างนี้อาจทำให้เราทำงานกับ ผอ.คนนี้ต่อไปอย่างไม่ราบรื่น ไม่มีความสุข ( ผอ.จะอยู่ที่เดิมประมาณ 4 ปี ) คุณต้องคิด และตัดสินใจเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น/ข้อเสนอแนะ/ข้อสงสัย