วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

1.อนุญาตให้ใช้รถส่วนตัวไปราชการ ชนคนตาย หน่วยงานที่ให้ไปราชการเป็นผู้รับผิดชอบ, 2.ตัวอย่างเทคโนโลยีที่เหมาะสม, 3.วุฒิครู (กศน.อาจไม่ให้ความสำคัญกับรายละเอียด), 4.การประเมินวิทยฐานะเชิงประจักษ์ (ว13/56), 5.หัวหน้ากลุ่มงานพัสดุ กศน. สรุปเรื่องพนักงานราชการเป็นประธานกรรมการตรวจรับพัสดุ, 6.การปรับกรณีส่งหนังสือเรียนล่าช้า, 7.การย้ายช่วง 1-15 ก.พ. ให้ผู้บริหารขอย้ายด้วยหรือเปล่า



สัปดาห์นี้มีเรื่องที่คิดว่าน่าสนใจ ขอเลือกมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้  7  เรื่อง ดังนี้

         1. เย็นวันที่ 26 ม.ค.59 มีผู้ถามผมในอินบ็อกซ์เฟซบุ๊ค ว่า  ข้าราชการครูไปราชการโดยใช้รถยนต์ส่วนตัว ระหว่างเดินทางกลับเกิดอุบัติเหตุชนกับรถจักรยานยนต์ ทำให้ผู้ขับขี่และผู้ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์เสียชีวิต ในกรณีนี้สำนักงานจังหวัดจะมีส่วนร่วมหรือช่วยเหลืออย่างไรกับข้าราชการครู ดังกล่าว

             เรื่องนี้  กลุ่มงานวินัยและนิติการ กจ.กศน. บอกว่า  ถ้าเป็นเรื่องความรับผิดชอบในกรณีทำให้ผู้อื่นเสียหายหรือเสียชีวิต โดยข้าราชการครูได้รับอนุญาตให้ใช้รถส่วนตัวไปราชการ  ผู้รับผิดชอบคือ สนง.กศน.จังหวัด ที่อนุญาตให้ข้าราชการครูใช้รถส่วนตัวไปราชการ
             สนง.กศน.จังหวัดต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ( เป็นคู่กรณีกับญาติผู้เสียหาย )  ถ้าเราเป็นฝ่ายผิด สนง.กศน.จังหวัดต้องเป็นผู้ชดใช้ค่าเสียหายตามความผิดทางการละเมิด ( ใช้เงินกองกลางชดใช้ไปก่อน แล้วทำรายงานไปส่วนกลาง )  ส่วนข้าราชการครูที่ขับรถชนคนเสียชีวิตมีความผิดทางอาญา
             หลังจากนั้น สนง.กศน.จังหวัด จึงดำเนินการกับข้าราชการครูในความผิดทางการละเมิด เพื่อเรียกชดใช้คืนจากข้าราชการครูในภายหลัง  อาจจะเรียกค่าชดใช้ที่จ่ายไป คืนจากข้าราชการครูทั้งหมด หรือบางส่วน อยู่ที่ผลการพิจารณาทางการละเมิดว่า ข้าราชการครูประมาทเลินเล่อ หรือมีเหตุสุดวิสัยอย่างไรแค่ไหน

         2. คืนวันที่ 28 ม.ค.59 ผมตอบ กศน. ตำบลศรีบุญเรือง อำเภอศรีบุญเรือง ที่ถามผมในอินบ็อกซ์เฟซบุ๊ค ว่า  มีโครงการเรียนรู้เทคโนโลยีที่เหมาะสมพอเป็นตัวอย่าง แนวทางหรือป่าว

             ผมตอบว่า   ผมไม่มีตัวอย่างโครงการ

             การเรียนรู้เทคโนโลยีที่เหมาะสม เป็นการศึกษาต่อเนื่องประเภทพัฒนาสังคมและชุมชน ( เกณฑ์การจัดสรรงบประมาณเหมือนกับการพัฒนาสังคมและชุมชน คือหัวละ 400 บาท ) ก็จัดโครงการลักษณะเดียวกับโครงการพัฒนาสังคมและชุมชนปีก่อน เพียงแต่เนื้อหาวิชาที่จัดเป็นเรื่องเทคโนโลยีที่เหมาะสม
             ผมเคยโพสต์ตัวอย่างเทคโนโลยีที่เหมาะสม ด้านการเกษตร เช่น
             - การปลูกพืชหรือเลี้ยงสัตว์โดยใช้เทคนิควิธีใหม่ที่ให้ผลผลิต/กำไรมากขึ้น เช่น การปลูกพืชไร่โดยใช้ระบบน้ำหยด
             - การปลูกพืชหรือเลี้ยงสัตว์พันธ์ใหม่ ๆ เช่น การเลี้ยงปลาหนังลูกผสมบึกสยามแม่โจ้ ( ปลาสวายผสมปลาบึก ), การทำฟาร์มเห็ดนางฟ้าฮังการี เห็ดโคนญี่ปุ่น
             - ฯลฯ

         3. เย็นวันที่ 1 ก.พ.59 มีผู้ถามผมในอินบ็อกซ์เฟซบุ๊ค ว่า  เป็นพนักงานราชการตำแหน่งครู กศน.ตำบล มีวุฒิคหกรรมศาสตร์บัณฑิต ( คหกรรมศาสตร์ศึกษา ) ซึ่งเป็นวุฒิครู และ มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูโดยไม่ต้องเรียน ป.บัณฑิต
             ไปสมัครสอบเพื่อจะเปลี่ยนตำแหน่งเป็นครูอาสา แต่ เขาไม่รับสมัคร บอกว่าไม่มีวุฒิครู ตกลงไม่ใช่วุฒิครูหรือ
             คุณสมบัติที่เขาต้องการ คือ
             1)  บุคคลทั่วไป  มีวุฒิไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีทางการศึกษา ดังนี้ ครุศาสตรบัณฑิต การศึกษาบัณฑิต หรือศึกษาศาสตรบัณฑิต ที่ ก.ค.ศ.รับรอง
             2)  บุคคลที่เป็นลูกจ้างในสังกัดสำนักงาน กศน.มีวุฒิไม่ต่ำปริญญาตรี และจบการศึกษาในระดับประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู

             ผมตอบว่า   วุฒิคหกรรมศาสตร์บัณฑิต ( คหกรรมศาสตร์ศึกษา ) เป็นวุฒิครู  ( คำว่าวุฒิครู เป็นภาษาพูด คำจริงคือ ปริญญาทางการศึกษา )
             ปริญญาทางการศึกษา มีหลายสาขา คือ
             1)  การศึกษา...
             2)  ครุศาสตร....
             3)  ศึกษาศาสตร....
             4)  ครุศาสตรอุตสาหกรรม....
             5)  วิทยาศาสตร... (ศึกษาศาสตร...) หรือ (ศึกษาศาสตรการสอน...) หรือ (การสอน...)
             6)  ศิลปศาสตร... (ศึกษาศาสตร์...) หรือ (ศึกษาศาสตรการสอน...)
             7)  คหกรรมศาสตรบัณฑิต วิชาเอกคหกรรมศาสตรศึกษา / เกษตรศาสตรบัณฑิต วิชาเอกเกษตรศึกษา / บริหารธุรกิจบัณฑิต วิชาเอกธุรกิจศึกษา

             แต่ คุณสมบัติที่ กศน.กำหนดสำหรับพนักงานราชการตำแหน่งครู นั้น ไม่ได้กำหนดแค่ว่ามีวุฒิครูอย่างเดียว แต่กำหนดว่ามีวุฒิครูเฉพาะ 3 สาขาเท่านั้น
              ( ผมไม่ทราบว่าทำไม กศน.กำหนดแค่ 3 สาขา อาจเป็นเพราะสาขาอื่นไม่เหมาะจะเป็นครู กศน. หรือสาขาอื่นมีน้อย หรือลืมไปว่าวุฒิครูมีหลายสาขา หรือ กศน.อาจไม่ให้ความสำคัญกับรายละเอียด  ควรถาม กศน.ผ่าน กจ.ว่าจะกรุณาแจ้งแก้ไขคุณสมบัติได้ไหม )
             ถ้ากำหนดแค่ 3 สาขา ก็สมัครได้แค่ 3 สาขา

             ผมเห็น กศน.จ.อุบลฯเขาเพิ่มเติมคุณสมบัติด้วยว่า หรือมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู”  ถ้ากำหนดแบบนี้คุณก็สมัครได้
              ( การที่แต่ละจังหวัดกำหนดคุณสมบัติแตกต่างเหลื่อมล้ำกัน ไม่ทราบว่าถูกต้องหรือไม่  ท่าน ผอ.กจ.กศน.เคยบอกผมว่า ที่ไม่กำหนดเรื่องใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู เพราะ ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูไม่ใช่วุฒิการศึกษา ส่วน ป.บัณฑิต เป็นวุฒิ ที่สูงกว่าปริญญาตรีต่ำกว่าปริญญาโท  ผมเคยโพสต์ประเด็นนี้เช่นในข้อ 5 ที่  http://nfeph.blogspot.com/2015/05/130-131.html )

         4. วันที่ 4 ก.พ.59 ผมนำสรุปสาระจากการประชุม ก.ค.ศ.ครั้งที่ 1/59 วันที่ 27 ม.ค.59 เรื่อง การประเมินวิทยฐานะเชิงประจักษ์ (ว13/56 ชำนาญการพิเศษ-เชี่ยวชาญ) มาเผยแพร่ในเฟซบุ๊ค ว่า

             - รางวัลสูงสุดระดับชาติขึ้นไป ที่ใช้พิจารณาคุณสมบัติของผู้ขอรับการประเมิน มีจำนวน 281 รางวัล ( เดิม 206 รางวัล เพิ่มใหม่อีก 75 รางวัล )  ก.ค.ศ. จะมีหนังสือแจ้งรายชื่อรางวัลไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเผยแพร่ในเว็บไซต์สำนักงาน ก.ค.ศ.
             - ชำนาญการพิเศษ ใช้รางวัลไม่น้อยกว่า 2 รางวัล/เรื่อง, เชี่ยวชาญ ไม่น้อยกว่า 3 รางวัล/เรื่อง
             - ต้องเป็นรางวัลจากผลงานดีเด่นฯ ระหว่าง วันที่ 1 พ.ค.56 – 30 เม.ย.59 (3 ปี)  และผลงานดีเด่นต้องตรงหรือสอดคล้องกับสาขาวิชา/กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่ขอรับการประเมิน
             - กำหนดให้ยื่นคำขอ พร้อมแบบรายงานและข้อเสนอในการพัฒนางานต่อผู้บังคับบัญชา ระหว่างวันที่ 1-30 เม.ย.59
             - จากนั้น ให้เขตพื้นที่การศึกษา และส่วนราชการ พิจารณาคัดกรองคุณสมบัติในเบื้องต้น แล้วเสนอรายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือกให้สำนักงาน ก.ค.ศ. ภายในวันที่ 30 ก.ย.59  ( แต่ถ้าเป็นผู้ที่จะเกษียณอายุราชการ ในวันที่ 30 ก.ย.59 ให้เสนอรายชื่อถึงสำนักงาน ก.ค.ศ. ภายในวันที่ 30 มิ.ย.59 )

             ผู้มีคุณสมบัติที่จะขอรับการประเมินต้องเตรียมพร้อมเพื่อรับการประเมินทั้ง 3 ด้าน ดังนี้

             ด้านที่ 1  ด้านวินัย คุณธรรมจริยธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพ  ( พิจารณาจากการมีวินัย การประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี การดำรงชีวิตอย่างเหมาะสม ความรักและศรัทธาในวิชาชีพ และความรับผิดชอบในวิชาชีพ )

             ด้านที่ 2  ด้านความรู้ความสามารถ  ( พิจารณาจากความสามารถในการจัดการเรียนการสอน / ความสามารถในการการบริหารจัดการสถานศึกษา / ความสามารถในการบริหารและการจัดการศึกษา / ความสามารถในการนิเทศการศึกษา และการพัฒนาตนเอง )

             ด้านที่ 3  ด้านผลการปฏิบัติงาน  แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ
                     - ส่วนที่ 1  ผลการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน / ผลการพัฒนาคุณภาพในการบริหารและจัดการสถานศึกษา / ผลการพัฒนาคุณภาพในการบริหารและจัดการศึกษา / ผลการพัฒนาคุณภาพการนิเทศการศึกษา
                     - ส่วนที่ 2  ผลงานดีเด่นที่ประสพผลสำเร็จเป็นที่ประจักษ์ ( รางวัลระดับชาติขึ้นไป จำนวนรางวัลตามที่กำหนด )
                     - ส่วนที่ 3  ผลงานทางวิชาการ ผลการพัฒนางานตามข้อตกลง  ซึ่งการพัฒนางานตามข้อตกลงจะต้องต่อยอดจากผลงานดีเด่นที่ประสบผลสำเร็จเป็นที่ประจักษ์เรื่องใดเรื่องหนึ่ง

 

         5. เมื่อวันที่ 21 พ.ค. ปี 2557 ผมถามสำนักมาตรฐานการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ กรมบัญชีกลาง ( 02-1277000 ต่อ 4551 ) ได้รับคำตอบว่า พนักงานราชการเป็นประธานกรรมการตรวจรับพัสดุ ได้ โดยไม่ได้กำหนดจำกัดวงเงินไว้ อ้างอิงจาก ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 “ที่แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 7 พ.ศ.2552” ข้อ 35 ( ดูได้ที่ home.kku.ac.th/praud…/law/01_assets/07_2552_assets_edit7.pdf )

             ระเบียบฉบับที่ 7 ปี 2552 นี้ กำหนดไว้ในข้อ 4 ว่า
              ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของข้อ 35 แห่งระเบียบปี 35  และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
               ข้อ 35 คณะกรรมการตามข้อ 34 แต่ละคณะ ประกอบด้วย ประธานกรรมการและกรรมการอีกอย่างน้อย 2 คน ซึ่งแต่งตั้งจาก ข้าราชการ พนักงานราชการ พนักงานมหาวิทยาลัย หรือพนักงานของรัฐ โดยคำนึงถึงลักษณะหน้าที่และความรับผิดชอบของผู้ได้รับแต่งตั้งเป็นสำคัญ ...”

             ที่จริง ก่อนหน้าที่จะมีระเบียบฉบับที่ 7 ออกมาในปี 52 นี้  ก็มีหนังสือตอบข้อหารือก่อนแล้วว่า ให้พนักงานราชการเป็นกรรมการตรวจรับพัสดุได้  ( ผมจำไม่ได้ว่าหนังสือตอบข้อหารือฉบับนั้น พูดถึงเฉพาะกรรมการ หรือเป็นประธานได้ด้วย และเฉพาะกรณีหน่วยงานไม่มีข้าราชการหรือเปล่า  เพราะเมื่อมีระเบียบฉบับที่ 7 ออกมาชัดเจนแล้ว ผมก็ทิ้งหนังสือตอบข้อหารือนั้นไป ไม่ต้องนำมาใช้อ้างอิงอีกแล้ว )
             ที่ระเบียบเดิม ปี 35 ไม่มีคำว่าพนักงานราชการไว้ เพราะ ปี 35 ประเทศไทยยังไม่มีพนักงานราชการ

             หลังจากนั้น เดือน ม.ค. ปี 58 ผมหารือเรื่องนี้กับกลุ่มงานพัสดุ กลุ่มการคลัง กศน. อีก ได้รับคำตอบว่า ถ้าหน่วยงานมีข้าราชการ ประธานกรรมการต้องเป็นข้าราชการ
             สรุปคือ ถ้าหน่วยงานไม่มีข้าราชการ ให้พนักงานราชการเป็นประธานกรรมการตรวจรับพัสดุได้โดยไม่จำกัดวงเงิน แต่ถ้ามีข้าราชการต้องให้ข้าราชการเป็นประธานกรรมการ

             แต่.. ต่อมา ปลายปี 58 มีผู้บอกว่า ถ้าวงเงินเกินแสน ต้องให้ข้าราชการอำเภออื่นมาเป็นประธาน

             ปลายเดือน ม.ค.59 ผมจึงหารือกลุ่มงานพัสดุ กลุ่มการคลัง กศน. ในเรื่องนี้อีก ครั้งนี้ได้รับคำตอบใหม่ว่า
              เมื่อเร็ว ๆ นี้ ก็มีผู้ถาม น้องที่กลุ่มงานพัสดุตอบตามระเบียบเดิมว่า ประธานกรรมการต้องเป็นข้าราชการเท่านั้น ผู้ถามอ้างระเบียบฉบับที่ 7 น้องที่ตอบจึงถามต่อไปที่กรมบัญชีกลาง ( ที่เดียวกับที่ผมถาม ) ได้รับคำตอบว่า จะให้พนักงานราชการใหญ่กว่าข้าราชการได้อย่างไร ประธานต้องเป็นข้าราชการ ส่วนพนักงานราชการเป็นกรรมการ

             วันที่ 2 ก.พ.59 ผมจึงหารือสำนักมาตรฐานการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ กรมบัญชีกลาง ( 02-1277000 ต่อ 4551 ) อีก เขาก็ยืนยันเหมือนเดิมว่าระเบียบฉบับที่ 7 ชัดเจนแล้ว ประธานกรรมการแต่งตั้งจากพนักงานราชการได้ โดยระเบียบไม่ได้ระบุจำกัดวงเงินไว้ ถ้าส่วนราชการใดจะกำหนด นโยบายเป็นอย่างอื่น เช่นห้ามพนักงานราชการเป็นประธานกรณีวงเงินเกินแสน ก็คงกำหนดได้ แต่ควรกำหนดเป็นลายลักษณ์อักษร

             วันที่ 4 ก.พ.59 ผมหารือกลุ่มงานพัสดุ กลุ่มการคลัง กศน. อีกครั้ง
             ครั้งนี้ หัวหน้า กลุ่มงานพัสดุ ( อรอัญญาญ์ ธีรกรณ์พัฒน์ ) สรุปชัดเจนว่า
             ให้ยึดระเบียบฉบับที่ 7 ซึ่งเป็นลายลักษณ์อักษรที่อ้างอิงได้ คือ
              พนักงานราชการสามารถเป็นประธานกรรมการตรวจรับพัสดุได้โดยไม่จำกัดวงเงิน แต่ถ้าหน่วยงาน/สถานศึกษานั้นมีข้าราชการ ต้องให้ข้าราชการเป็นประธาน

 

         6. เนื่องจากวันที่ 4 ก.พ.59 กศน.อ.ผักไห่ ยังได้รับหนังสือเรียน กศ.ขั้นพื้นฐานที่จ้างพิมพ์ไม่ครบ ทั้งที่เกินกำหนดส่งแล้ว เวลาผ่านมาเกินกลางเทอมแล้ว ผู้รับจ้างทยอยนำหนังสือมาส่ง 3 ครั้งแล้ว วันนี้ ( 4 ก.พ.59 ) ก็ยังไม่ครบ  หนังสือบางรายการ ( ประถม ) ก็เป็นหนังสือที่พิมพ์ไว้ก่อนกลุ่มพัฒนา กศน.แก้ไขคำผิด

             ผมบอกว่าจะต้องปรับ ( คิดว่าที่ไหนปรับเขาจะรีบส่งก่อน ที่ไหนไม่ปรับเขาจะส่งช้า ) ผู้รับจ้างบอกว่าถ้าปรับก็ปรับเฉพาะส่วนที่ยังไม่ได้ส่ง  ส่วนรายการที่พิมพ์ไว้ก่อนแก้คำผิด จะพิมพ์มาให้ใหม่ แต่ยังไม่กำหนดว่าพิมพ์ใหม่จะส่งเมื่อไร เล่มเก่าที่นำมาส่งแล้ว(ที่ไม่ได้แก้คำผิด)ก็จะยกให้ด้วย ให้นำหนังสือที่ส่งแล้วทั้งหมดไปให้ นศ.ได้เลย
             แต่ต่อมา ผู้รับจ้างก็ทำหนังสือมาขอยกเว้นค่าปรับ ให้เหตุผลว่า เขาไม่ได้ใช้ใบแทรกแก้คำผิดมาประกอบหนังสือเก่าแล้วนำมาส่ง แต่เขาพิมพ์หนังสือขึ้นมาใหม่ จึงล่าช้า
             ผมจึงหารือเรื่องนี้กับหัวหน้ากลุ่มงานพัสดุ กลุ่มการคลัง กศน. เมื่อ
4 ก.พ.59 ได้รับคำตอบว่า
             1)  การจ้างพิมพ์หนังสือ ถ้ายังส่งมอบไม่ถูกต้อง/ครบถ้วน จะยังตรวจรับ/รับมอบ ไม่ได้
             2)  เมื่อยังตรวจรับ/รับมอบไม่ได้ การปรับก็ต้องปรับตามยอดเต็ม ปรับถึงวันที่ส่งมอบถูกต้องครบถ้วน ( ถึงวันที่นำหนังสือที่พิมพ์แก้ไขคำผิดใหม่มาส่งครบถ้วน )
             3)  เมื่อยังตรวจรับ/รับมอบเป็นของเราไม่ได้ ก็ไม่มีสิทธิจะนำหนังสือส่วนที่ได้รับแล้วไปให้ นศ.
             4)  ผู้รับจ้างสามารถทำหนังสือขอยกเว้นค่าปรับมาให้กรรมการตรวจรับฯพิจารณาได้ เหตุผลเช่น ผู้จ้างส่งมอบต้นฉบับให้ช้า เป็นความบกพร่องของผู้จ้าง จึงจะพิจารณายกเว้นค่าปรับได้  แต่เหตุผลที่ว่าเขาพิมพ์ใหม่ไม่ได้ใช้หนังสือเก่ามาแทรกใบแก้คำผิดจึงล่าช้า นั้น เป็นเหตุผลที่ไม่ถูกต้องเพราะต้นฉบับที่ใช้จ้างพิมพ์เป็นต้นฉบับที่แก้คำผิดแล้ว และเรามอบให้ตั้งแต่ทำสัญญาหรือสั่งจ้าง เขารู้ตั้งแต่รับจ้างแล้วว่าต้องพิมพ์เหมือนต้นฉบับ

 

         7. คืนวันที่ 8 ก.พ.59 มี ผอ.กศน.อ. ถามผมทางไลน์ ว่า  ย้ายข้าราชการครูและบุคลากรรอบนี้ 1-15 ก.พ. ผู้บริหารย้ายด้วยป่าว

             ผมตอบว่า   ตามหลักเกณฑ์ข้อ 3.1 ในหนังสือสำนักงาน กศน. กำหนดให้ผู้บริหารสถานศึกษาขอย้ายกรณีปกติปีละครั้งเดียว ในช่วง 1-15 ส.ค. ( ดูหนังสือนี้ได้ที่  https://db.tt/LbkfNeHq )

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ความคิดเห็น/ข้อเสนอแนะ/ข้อสงสัย