วันเสาร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2560

1.ครู กศน.น่าสงสาร, 2.ต้องรักษาสภาพย้อนหลังทุกภาคไหม-นศ.พิการเรียนช้า ถ้าเกิน 5 ปีต้องเรียนใหม่ไหม-ต้องนำวิชาเลือกบังคับเข้ากรรมการสถานศึกษาไหม-ต้องมีการสอบกลางภาคไหม, 3.มีต่ออายุราชการของพนักงานราชการไม๊, 4.พนักงานราชการซื้อเครื่องราชอิสริยาภรณ์แบบนี้ถูกไหม, 5.การประเมิน/ต่อสัญญา พนักงานราชการ, 6.ประเมิน พรก.ได้คะแนนพอใช้ ไม่ต่อสัญญาใช่ไหม, 7.งบอุดหนุนรายหัว เหลือ ซื้อหนังสือได้ไหม


สัปดาห์นี้มีเรื่องที่คิดว่าน่าสนใจ ขอเลือกมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้  7  เรื่อง ดังนี้


         1. คืนวันที่ 10 ส.ค.60 มีผู้เขียนข้อความตอบกลับท้ายโพสต์ผมบนไทม์ไลน์เฟซบุ๊ก ว่า  น่าสงสารกันนะพวกเราครูอาสา ครูกศน.ทำงานกันมา25ปีขึ้น เกษียนแล้วต้องกลับมาเริ่มต้น0 เพราะเราไม่มีเงินบำเน็จบำนาญกะเค้ากัน แต่เค้าเกษียนกันแล้วสบาย...เดินสายเที่ยวกันอย่างเดียว ?

             ผมเขียนข้อความตอบกลับว่า  ถ้าทำประกันสังคมแบบส่งเงินสมทบเข้ากองทุนชราภาพ ก็มีบำเหน็จบำนาญตามเกณฑ์นะ ( ดูในข้อ 5 ที่  http://nfeph.blogspot.com/2013/11/10-mpbs.html )
             พนักงานราชการบรรจุใหม่ วุฒิ ป.ตรี หลักสูตร
4 ปี จะได้รับเงินเดือนมากกว่าข้าราชการพลเรือน 20 % โดยพนักงานราชการได้ 18,000 บาท แต่ข้าราชการได้ 15,000 บาท ส่วนที่เกินนี้ เป็นเงิน
             - ชดเชยบำเหน็จบำนาญ 10 %  โดยเมื่อ พรก.เกษียณจะไม่มีบำเหน็จบำนาญจากเงินงบประมาณอีก ( แต่ก็มีบำเหน็จบำนาญจากเงินประกันสังคมตามหลักเกณฑ์ )
             - ชดเชยสวัสดิการ 5 %  โดยจะเบิกค่าสวัสดิการเช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าตรวจสุขภาพ ค่าช่วยเหลือบุตร ค่าการศึกษาบุตรไม่ได้ ( แต่ก็เบิกจากระบบประกันสังคมได้ )
             - ชดเชยเงินประกันสังคมส่วนที่ลูกจ้างจ่ายสมทบ 5 %
             ส่วนที่เกินเดือนละประมาณ
3,000 บาทนี้ จะเป็นเงินชดเชยบำเหน็จบำนาญ ( 10 % ของเงิน 15,000 ) ประมาณ 1,500 บาท ซึ่งจะเป็นปีละประมาณ 18,000 บาท ถ้าทำงาน 25 ปี จะเป็นประมาณ 450,000 บาท นั่นคือเท่ากับพนักงานราชการได้เงินบำเหน็จบำนาญจากราชการประมาณ 450,000 บาท

         2. วันที่ 7 ส.ค.60 มี ขรก.ครูจาก กศน.อ.เมือง จังหวัดใกล้เคียง ไปหาผมถึงที่ กศน.อ.ผักไห่ คุยกันเรื่องการดำเนินงาน กศ.ขั้นพื้นฐานอย่างเดียว แต่หลายประเด็น ที่จำได้ เช่น

             1)  นศ.หายไปหลายเทอม แล้วมาลงทะเบียนรักษาสถานภาพ ต้องให้ลงทะเบียนรักษาสถานภาพย้อนหลังทุกภาคเรียนไหม
                  ผมตอบว่า  ตามหลักการ ถ้าไม่ลงทะเบียนเรียนในภาคเรียนใด ก็ให้ติดต่อมาลงทะเบียนรักษาสถานภาพไว้ เพื่อให้รู้ว่ายังไม่เลิกเรียน ยังมีตัวตน ยังไม่หายไปไหน  ถ้าภาคเรียนใดไม่มาลงทะเบียนอะไรเลย ครูควรติดตามถามปัญหาเพื่อการแนะแนวได้ทันสภาพปัญหา
                  แต่.. ถึงแม้ไม่ลงทะเบียนอะไรเลยติดต่อกัน ( ไม่เกิน 6 ภาคเรียน ) โปรแกรมก็ไม่ได้เปลี่ยนให้เขาพ้นสถานภาพการเป็นนักศึกษา ถ้าเขาหายไปติดต่อกัน 6 ภาคเรียน แล้วต้นภาคเรียนที่ 7 เขามาลงทะเบียนรักษาสภาพในช่วงที่ยังเปิดให้ลงทะเบียน ก็ให้ลงทะเบียนรักษาสถานภาพเฉพาะในภาคเรียนที่ 7 ภาคเรียนเดียว โดยลงทะเบียนรักษาสถานภาพในโปรแกรม ITw ด้วย ก็จะมีสถานภาพเป็นนักศึกษาต่อไป ไม่ต้องลงทะเบียนรักษาสถานภาพย้อนหลังในภาคเรียนที่ 1-6 เพราะไม่มีระเบียบให้ลงทะเบียนย้อนหลัง เนื่องจากเจตนาจะให้ นศ.มีการติดต่อสื่อสารกับสถานศึกษาทุกภาคเรียน

             2)  นศ.พิการหลายคนเรียนได้ช้า ถ้าพิการมากเช่นพิการทางสมอง จะไม่สามารถเรียนจบได้ภายใน 5 ปี วิชาที่เรียนเกิน 5 ปีแล้ว ต้องเรียนใหม่เหมือน นศ.ปกติหรือไม่
                  ผมตอบว่า  นศ.พิการ กับ นศ.ปกติ ยังใช้ระเบียบหลักเกณฑ์และหลักสูตรเดียวกัน ฉะนั้น วิชาที่เรียนเกิน 5 ปีแล้ว ก็ต้องเรียนใหม่เหมือน นศ.ปกติ
                   ( อาจช่วย นศ.พิการให้เรียนจบง่ายขึ้น โดย ลดจำนวนรายวิชาเลือกเสรีที่ต้องเรียนให้เหลือน้อยลง ด้วยการ พัฒนาวิชาเลือกเสรีสำหรับคนพิการขึ้นมาโดยเฉพาะ ให้แต่ละวิชามีเนื้อหาน้อยแต่หน่วยกิตมาก ซึ่งจำนวนหน่วยกิตกำหนดจากเวลาที่ต้องใช้ในการเรียนรู้ ถ้าต้องใช้เวลาเรียนรู้ 40 ชม.จะเท่ากับ 1 หน่วยกิต ฉะนั้นเนื้อหาวิชา 2 หน่วยกิตของคนปกติ คนพิการเรียนได้ช้า ถ้าต้องใช้เวลาเรียนมากกว่าคนปกติ 2 เท่า วิชาที่มีเนื้อหาเท่า ๆ กันนั้น ถ้าคนพิการต้องใช้เวลาเรียน 160 ชม. วิชานั้นก็จะเป็น 4 หน่วยกิตสำหรับคนพิการ เมื่อแต่ละวิชาของคนพิการมีหน่วยกิตมาก จำนวนวิชาเลือกเสรีของคนพิการก็จะน้อยลง เรียนแต่ละเทอมไม่กี่วิชา
                  ส่วนนักศึกษาที่พิการทางสมองมาก ๆ จนไม่สามารถเรียนสายสามัญได้ ก็ไม่ต้องรับเข้าเรียน กศ.ขั้นพื้นฐาน )

             3)  ต้องนำวิชาเลือกบังคับให้คณะกรรมการสถานศึกษาเห็นชอบไหม คณะกรรมการต้องลงนามทุกคนไหม
                  ผมตอบว่า  หลักสูตรต่าง ๆ ต้องให้คณะกรรมการสถานศึกษาเห็นชอบ คำว่าหลักสูตรนี้อาจแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ หลักสูตรรายวิชาแต่ละรายวิชา กับ หลักสูตรสถานศึกษา  ซึ่งต้องผ่านคณะกรรมการสถานศึกษาทั้ง 2 ส่วน
                  หลักสูตรสถานศึกษาคือ ภาพรวมโครงสร้างหลักสูตรทั้งหมดในแต่ละระดับชั้น ซึ่งรวมทั้งกำหนดวิชาบังคับและวิชาเลือกทั้งหมดไว้ในหลักสูตรสถานศึกษาด้วย
                  เมื่อส่วนกลางกำหนดวิชาเลือกบังคับเพิ่มขึ้น ก็จะไปกระทบให้หลักสูตรสถานศึกษาเปลี่ยนแปลง เมื่อหลักสูตรสถานศึกษาเปลี่ยนแปลง ตามหลักการก็ต้องนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการสถานศึกษาให้คณะกรรมการรับทราบด้วย

                  หลักฐานสำคัญที่แสดงว่าหลักสูตรได้ผ่านที่ประชุมคณะกรรมการสถานศึกษาแล้ว คือ รายงานการประชุมคณะกรรมการสถานศึกษา
                  การให้กรรมการสถานศึกษาลงนามในเล่มหลักสูตร ก็เป็นหลักฐานได้อีกอย่างหนึ่ง ถ้ากรรมการลงนามเกินครึ่งก็ใช้เป็นหลักฐานแทนรายงานการประชุมได้ แต่ถ้าจำนวนกรรมการที่ลงนามไม่ถึงครึ่งหรือประธานลงนามเพียงผู้เดียว ก็ยังต้องใช้รายงานการประชุมประกอบเป็นหลักฐานด้วย

             4)  จำเป็นต้องมีการสอบกลางภาคไหม
                  ประเด็นนี้คิดไม่ตรงกัน โดย ผมบอกว่า  การวัดผลระหว่างภาค ไม่จำเป็นต้องมีการสอบกลางภาค โดยเฉพาะวิชาเลือกเสรีท่านอดีตเลขาฯสุรพงษ์เคยพูดว่า การวัดผลระหว่างภาคของวิชาเลือกเสรีอาจวัดจากโครงงานอย่างเดียวก็ได้ หรือสอบอัตนัยข้อเดียวก็ได้
                  แต่.. อาจารย์ท่านที่มาคุยด้วย บอกว่า หนังสือสั่งการจาก สนง.กศน. เป็นลายลักษณ์อักษร ไม่ได้กำหนดอย่างที่ผมบอก แต่กำหนดว่า
                   “การประเมินผลระหว่างภาคเรียน ทั้งรายวิชาบังคับและรายวิชาเลือก ให้มีคะแนนจาก 3 ส่วน ( ไม่ได้ใช้คำว่า ควรมีคะแนนจาก 3 ส่วน” ) คือ
                  - คะแนนจากการทำกิจกรรม  ได้แก่ แบบฝึกหัด, กรต., รายงาน, ภาคปฏิบัติ เป็นต้น
                  - คะแนนจากการทำโครงงาน หรือแฟ้มประมวลผลงาน/ชิ้นงาน
                  - คะแนนจากการทดสอบ  ได้แก่ การทดสอบย่อย, การทดสอบระหว่างภาคเรียน ( เน้นอัตนัย )
                   ( ดูหนังสือแจ้งนี้ได้ที่  https://db.tt/3fIuhsFW )
                  โดยส่วนที่ 3. กำหนดว่า คะแนนจากการทดสอบ ได้แก่ ทดสอบย่อย ทดสอบระหว่างภาคเรียน” ( ใช้คำว่า ได้แก่ไม่ได้ใช้คำว่า เช่น” ) ฉะนั้นต้องมีการ ทดสอบระหว่างภาคเรียน ซึ่งการทดสอบระหว่างภาคเรียนที่ไม่ใช่การทดสอบย่อย ก็คือการสอบกลางภาค  สรุป ต้องมีการทดสอบย่อย การสอบกลางภาคด้วย ทุกวิชา ทุกวิธีเรียน

                  ผมจึงถามประเด็นนี้กับคุณกิตติพงษ์ กลุ่มพัฒนา กศน. เมื่อ 8 ส.ค.60 ว่า  เมื่อหนังสือสั่งการเป็นลายลักษณ์อักษร เป็นอย่างนี้ และยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง ถ้าวิชาใด วิธีเรียนใด ไม่สอบกลางภาค จะถือว่าทำผิดหรือไม่
                  คุณกิตติพงษ์ กลุ่มพัฒนา กศน. ตอบว่า  หนังสือฉบับนี้ออกจากกลุ่มพัฒนาระบบการทดสอบ น่าจะเป็นข้อแนะนำทั่วไปเกี่ยวกับการวัดผลประเมินผลตามหลักการมากกว่า.. การวัดระหว่างภาคจะมี 3 หรือกี่ส่วน ให้แล้วแต่ธรรมชาติของแต่ละวิชา

         3. วันอาทิตย์ที่ 13 ส.ค.60 มีผู้ถามผมในอินบ็อกซ์เฟซบุ๊ค ว่า  มีต่ออายุราชการของพนักงานราชการไม๊

             ผมตอบว่า   ไม่มีการต่ออายุพนักงานราชการทั่วไปของ สป.ศธ.
             ( เดิม ปีหนึ่งท่านอดีตเลขาธิการ กศน. แจ้งในที่ประชุมว่าจ้างพนักงานราชการที่อายุ 60 ปีต่อได้ แต่ปีหลังท่านเดิมก็แจ้งในที่ประชุมให้จ้างแค่อายุ 60  และปี 54 ก็มีการกำหนดเรื่องอายุสูงสุดของพนักงานราชการ ไว้ในข้อ 3 ของข้อกำหนด สป.ศธ. ดูได้ที่
             https://dl.dropboxusercontent.com/u/109014048/PDF/PRGgasean.pdf )

         4. วันเดียวกัน ( อาทิตย์ที่ 13 ส.ค.) มีพนักงานราชการถามผมทางไลน์ ว่า  ปรึกษาหน่อย เครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่ผมได้รับแล้ว คือ บ.ช. และยื่นขอปี 59 (รอประกาศในราชกิจจานุเบกษา) คือ จ.ม. ถ้ามีประกาศ ผมจะซื้อ โดยมีเหรียญในหลวงด้วย รวมแบบในรูป ถูกไหม

             ผมตอบว่า   ( เหรียญซ้าย = จ.ช., เหรียญกลาง = บ.ช. )  ถ้าขอประจำปี 59 จะไม่มีการพระราชทานนะ เพราะ ร.9 สวรรคตก่อนวันที่ 5 ธ.ค.59  แต่ต้นสังกัดก็นำมาขอรวมให้ใหม่ในปี 60 ( ขอพระราชทานจาก ร.10 ) ซึ่งกว่าจะประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้ประดับได้ก็ประมาณ ม.ค.61
             ส่วนเหรียญด้านขวา เหรียญที่ระลึก ร.9 ทรงเจริญพระชนพรรษา 7 รอบ 84 พรรษาในปี พ.ศ.54 นั้น ใครเกิดไม่หลังปี 54 ก็ประดับได้ 






         5. วันที่ 15 ส.ค.60 ผมเรียนถามเรื่องการประเมิน/ต่อสัญญา พนักงานราชการ จากท่าน ผอ.กจ.กศน. ได้รับข้อมูลดังนี้

             - ให้ประเมินผลการปฏิบัติงานของพนักงานราชการ เพื่อการต่อสัญญาและการเพิ่มค่าตอบแทนประจำปี ตามระเบียบหลักเกณฑ์ที่ปฏิบัติปกติ
             - ให้ประเมินทุกคนที่บรรจุอยู่ก่อนวันที่ 1 ต.ค.60 แม้ว่าจะอายุราชการไม่ถึง 4 เดือน ( ประเมินเพื่อต่อสัญญา ) โดยถ้าบรรจุแต่งตั้งหลังช่วงการประเมินครั้งที่ 1/60 ก็ให้ประเมินครั้งที่ 2/60 เพียงครั้งเดียว ( ถ้าประเมินครั้งเดียว คะแนนที่ได้ไม่ต้องหารด้วยสอง )
             - ผู้ที่มีเวลาปฏิบัติงานในปี งปม.60 ไม่ครบ 8 เดือน เช่นบรรจุแต่งตั้งหลังวันที่ 1 ก.พ.60 ให้ประเมินเพื่อการต่อสัญญาอย่างเดียว ไม่ได้ประเมินเพื่อการเพิ่มค่าตอบแทนประจำปี
             ( ผู้ที่มีเวลาปฏิบัติงานไม่ครบ 8 เดือน จะต่อสัญญาด้วยค่าตอบแทนเท่าเดิม โดยผลการประเมินต้องอยู่ระหว่าง ดี ถึงดีเด่น )
             - ผู้ที่ผ่านการประเมิน ( คือคะแนนเฉลี่ยอยู่ในเกณฑ์ดีขึ้นไป ) ให้ต่อสัญญาครั้งนี้เป็นเวลา 3 ปี ทุกคน ส่วนผู้ที่คะแนนเฉลี่ยในปี งปม.60 ต่ำกว่าดี ให้เลิกจ้าง โดยถ้าเดิมอัตราไม่เกินกรอบอยู่ ให้เรียกบรรจุคนใหม่แทนในตำแหน่งเดิมที่เดิม ถ้าจะเปลี่ยนเป็นตำแหน่งอื่นหรือย้ายที่ ให้ขออนุมัติส่วนกลางก่อน และถ้าเดิมอัตราครู กศน.ตำบล เกินกรอบอยู่ ให้แจ้งส่วนกลางเพื่อเกลี่ยอัตราไปให้จังหวัดอื่นที่มีครู กศน.ตำบลไม่ครบทุกตำบล
             - ในส่วนของการย้าย นั้น ยังไม่มีนโยบายจากระดับกระทรวงในเรื่องนี้ว่ารอบนี้จะมีการให้ย้ายไปทำสัญญาใหม่ในที่ใหม่เหมือนรอบที่ผ่านมาหรือไม่ ( ไม่มีระเบียบหลักเกณฑ์ให้ย้ายได้ )


         6. คืนวันที่ 16 ส.ค.60 มีผู้ถามผมในอินบ็อกซ์เฟซบุ๊ก ว่า  ได้อ่านจากข้อความที่อาจารย์โพสต์เรื่องการประเมินต่อสัญญา พนง.ราชการในรอบเดือนตุลาคม 2560 ที่จะถึงนี้  ขอถามแทนเพื่อนว่า คือในการประเมินครั้งที่ 1 ที่ผ่านมาได้คะแนนพอใช้ ถ้าครั้งที่ 2 ได้คะแนนพอใช้อีก ผลคือ ไม่ต่อสัญญาใช่ไหม

             ผมตอบว่า   ใช่ครับ ถ้าได้พอใช้ 2 ครั้ง เฉลี่ยแล้วก็จะไม่เกินพอใช้แน่นอน ซึ่งถ้าเฉลี่ยต่ำกว่าดีก็ไม่ต่อสัญญา
             คะแนน 2 ครั้งรวมกันแล้วหารด้วย 2 ต้องเป็น 75 % ขึ้นไป  ( พอใช้ = 65-74 %, ดี = 75-84 %, ดีมาก = 85-94 % )
             - ถ้าครั้งที่ 1 ได้ 74.9 ( พอใช้ )  ครั้งที่ 2 ต้องได้อย่างน้อย 75.1 ( ดี )  จึงจะเฉลี่ยเป็น ดีขึ้นไป
             - ถ้าครั้งที่ 1 ได้ 65 ( พอใช้ )  ครั้งที่ 2 ต้องได้อย่างน้อย 85 ( ดีมาก )  จึงจะเฉลี่ยเป็น ดีขึ้นไป
             ถ้าตั้งใจทำงานเต็มที่แล้ว คณะกรรมการและผู้บริหารเขาคงเพิ่มคะแนนให้

              ( การประเมิน ไม่ใช่ประเมินในเดือน ต.ค.นะ แต่ควรประเมินและประกาศผลก่อน เพราะจะหมดสัญญาเดิมเมื่อสิ้นเดือน ก.ย. ถ้าให้ทำงานต่อในเดือน ต.ค.ไปแล้วแจ้งผลภายหลังว่าไม่ต่อสัญญา ก็อาจมีปัญหา )

         7. วันที่ 18 ส.ค.60 มีผู้ถามผมในอินบ็อกซ์เฟซบุ๊ก ว่า  งบอุดหนุน (รายหัว) กรณีเหลือ สามารถให้สถานศึกษาซื้อหนังสือได้ไหม หนังสือเรียน ทั้งบังคับ และทั่วไป กรณีได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม
             ผมตอบว่า   ซื้อได้ตามระเบียบ/วงเงิน/แผน
             ตามคำสั่ง สป.ศธ.ที่ 605/59 ลว.28 มี.ค.59 ข้อ 11 กำหนดให้เบิกจ่ายเงินอุดหนุน เป็นค่าดำเนินการเกี่ยวกับสื่อ วัสดุอุปกรณ์การศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้  การซื้อหนังสือเรียนวิชาบังคับ-วิชาเลือก ไว้ที่ กศน.ตำบล/ศรช. สำหรับให้ นศ. อ่าน/ยืมอ่าน ก็ถือเป็นการซื้อสื่อตามข้อ 11 นี้  ( แต่ถ้าซื้อแจก นศ. หรือซื้อหนังสือทั่วไปที่ไม่เกี่ยวกับหลักสูตรสถานศึกษา ซื้อไม่ได้ )

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ความคิดเห็น/ข้อเสนอแนะ/ข้อสงสัย